Powered By Blogger

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บุคคลสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์





Intel

 ประวัติของ intel



          อินเทล (อังกฤษ: Intel) เป็นบริษัทผลิตชิพสารกึ่งตัวนำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากรายได้ บริษัทอินเทลเป็นผู้คิดค้นไมโครโพรเซสเซอร์ตระกูลx86 ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้กันมากที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อินเทลก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1968 ในชื่อ Integrated Electronics Corporation โดยมีสำนักงานอยู่ที่ซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อินเทลยังเป็นผู้ผลิตชิพเซตของเมนบอร์ด, เน็ตเวิร์คการ์ดและแผงวงจรรวม, แฟลชเมโมรี, ชิพกราฟิค, โปรเซสเซอร์ของระบบฝังตัว ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร

          อินเทลก่อตั้งขึ้นโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) และโรเบิร์ต นอยซ์ (Robert Noyce) ผู้เชี่ยวชาญด้านสารกึ่งตัวนำ โดยเป็นอดีตพนักงานของ Fairchild Semiconductor พนักงานยุคแรกเริ่มที่สำคัญอีกคนของอินเทลคือ แอนดรูว์ โกรฟ ซึ่งในภายหลังเป็นผู้บริหารคนสำคัญ ที่ทำให้อินเทลก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในปัจจุบัน

          แต่เดิมนั้น ชื่อของอินเทลจะเป็นที่รู้จักเฉพาะในหมู่วิศวกรและนักเทคโนโลยีเท่านั้น แต่หลังจากที่โฆษณา อินเทล อินไซด์ ประสบผลสำเร็จอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1990 ชื่อของอินเทลก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในทันที โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักคือ หน่วยประมวลผลกลางตระกูลเพนเทียม (Pentium)
                                           
                                               สำนักงานใหญ่อินเทล ที่ซานตาคลารา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5


Google

                                                        

                                                  ประวัติผู้ก่อตั้ง “กูเกิล”

เซอร์เกย์ บริน มีชื่อเต็มว่า เซอร์เกย์ มิคาอิลโลวิช บริน เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1973 ที่เมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย พื้นฐานทางครอบครัวของเขาดีมาก โดยเฉพาะด้านวิชาการที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการเรียนต่อไปในอนาคต เพราะบิดาของเขาเป็นนักคณิตศาสตร์เชื้อสายยิว ส่วนมารดาเป็นนักเศรษฐศาสตร์
ในปี ค.ศ. 1979 ครอบครัวของเขาอพยพมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาของเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์สอนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยปาร์กแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์และยังสอนหนังสืออยู่ที่นั่นจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนมารดาของเขาปัจจุบันทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษอยู่ที่องค์การนาซา

เขาเติบโตมาในยุคที่ไมโครคอมพิวเตอร์กำลังมีการพัฒนาและก้าวหน้า อีกทั้งเขายังมีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์ เมื่อตอนที่เขามีอายุได้ 9 ขวบ เขาได้รับของขวัญวันเกิดจากบิดาเป็นคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของเขา และพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ของเขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ตอนต้น ๆ โรงเรียนที่เซอร์เกย์เริ่มเรียนในสหรัฐอเมริกาคือโรงเรียนเพนต์บรานช์มอนเตสเซอร์รี่ รัฐแมรีแลนด์ แต่ต่อมาเขาก็เริ่มเรียนที่บ้านเอง คนที่สอนหนังสือคือพ่อของเขาเอง แน่นอนว่าพ่อเป็นคนที่ส่งอิทธิพลให้เขาเกิดความสนใจด้านคณิตศาสตร์
เซอร์เกย์เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยปาร์กแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ และได้รับปริญญาศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมดีเยี่ยม

เมื่อเรียนจบแล้วเขาได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation) เพื่อให้เขาเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันสำคัญที่เป็นจุดนำชีวิตของเขาและคู่หูร่วมกันสร้างเสิร์ชเอนจินขึ้นมา

ลาร์รี เพจ มีชื่อจริงว่า ลอว์เรนซ์ อี. เพจ เกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1973 ณ เมืองแอนอาร์เบอร์ มลรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว บิดาของเขามีชื่อว่า คาร์ล วินเซนต์ เพจ เป็นศาสตราจารย์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ณ มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่ากลอเรีย เพจ เป็นอาจารย์สอนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตทเช่นเดียวกันกับสามี
เขาเริ่มมีความสนใจในคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่มีอายุได้ 6 ขวบ ซึ่งตอนนั้นได้เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมแลนซิ่งตะวันออก เมื่อจบแล้วจึงเจริญรอยตามผู้เป็นบิดาโดยการเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน วิทยาเขตแอนอาร์เบอร์ ในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเรียนจบด้วยปริญญาเกียรตินิยม จากนั้นเขาจึงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำให้เขาพบกับเซอร์เกย์ บริน และเป็นจุดกำเนิดของกูเกิล

ในตอนแรกที่ทั้งสองได้เจอกันต่างไม่ค่อยถูกชะตากันสักเท่าไหร่ เพราะมีข้อถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่พบกัน เพราะต่างคนต่างมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง จนต่อมาภายหลังเมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเทอมในอีก 2-3 เดือนต่อมา ลาร์รีเข้ามารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขาเลือกศาสตราจารย์ Terry Winograd ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโต้ตอบระหว่างคอมพิวเตอร์และมนุษย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา และเมี่อเข้าเรียนแล้วก็คิดหัวข้อที่จะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก
เขาคิดหัวข้ออยู่หลายสิบเรื่อง จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะทำหัวข้อเกี่ยวกับ World Wide Web หรืออินเทอร์เน็ต ซึ่งหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขานี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของโลกอินเทอร์เน็ต และทำให้การค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

เขาเริ่มตนศึกษาโดยเริ่มจากการมองว่าเว็บไซต์หนึ่งเว็บไซต์เป็นเพียงจุดจุดหนึ่งบนกราฟ และแน่นอนว่าเว็บไซต์เพียงแค่หนึ่งเว็บไซต์ก็สามารถลิงก์ไปยังหลายร้อยหลายพันเว็บไซต์อื่น ๆ และก็ยังมีเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บที่สามารถลิงก์มายังเว็บไซต์หนึ่ง ๆ เพราะฉะนั้น กราฟ ที่เราใช้แทน อินเทอร์เน็ต ก็จะเป็นกราฟขนาดมหึมา และมีความซับซ้อน โยงกันไปโยงกันมาอย่างยุ่งเหยิง เขาเห็นว่าทฤษฎีที่เขาคิดขึ้นมานั้นตื่นเต้นและน่าติดตามมาก เพราะ เขามองว่าอินเทอร์เน็ตคือกราฟที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมา และกราฟนี้ก็จะขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน ๆ ด้วยความเร็วในอัตราที่สูงมาก เมื่อเขานำหัวข้อวิทยานิพนธ์นี้ไปปรึกษากับศาสตราจารย์ Terry Winograd ที่ปรึกษาของเขา ศาสตราจารย์ Terry Winograd ก็เห็นด้วย และแนะนำว่าควรจะศึกษาเรื่องของโครงสร้างของกราฟของเว็บเป็นการเริ่มต้นวิทยานิพนธ์
แต่ต่อมาภายหลังเขาก็พบกับปัญหาใหญ่เพราะด้วยความซับซ้อนของข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลทำให้เขามองหาผู้ช่วยที่มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ ปรากฏว่าคนที่จะมาช่วยคำนวณตัวเลขอันซับซ้อนให้เขาได้นั่นคือ เซอร์เกย์ ทำให้ทั้งสองได้ทำงานร่วมกันในหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ที่มีชื่อหัวข้อว่า “BackRub Project”

และ “BackRub Project” ก็ได้กลายมาเป็น Search Engine ขนาดจิ๋ว และกลายมาเป็น network ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ได้ชื่อว่า Network ที่เร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในเวลาต่อมา
หลังจากทดลองปรับแต่ง Backrub ให้กลายเป็นโปรแกรม Search Engine ทำการค้นหาข้อมูลบนหน้าเว็บหน้าใดหน้าหนึ่ง เขาพบว่า ผลการค้นหาดีกว่า Search Engine ที่มีอยู่ในตอนนั้น เช่น AltaVista หรือ Excite มาก เพราะมันไม่เพียงว่าผลการค้นหาจะดีแต่ระบบการให้คะแนนนี้จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเว็บโตขึ้นเรื่อย ๆ กราฟของเว็บโตขึ้นเรื่อย ๆ ผลการค้นหาก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจะมีตัวให้คะแนนซึ่งกันและกันมากขึ้น ตรงนี้นี่เองที่ทำให้ลาร์รีและเซอร์เกย์รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบสามารถทำรายได้มหาศาลให้แก่พวกเขา

และแล้วโปรเจ็กต์ Search Engine โดยนักศึกษาสแตนฟอร์ด 2 คนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งสองคนจึงตั้งชื่อ Search Engine ตัวใหม่ของพวกเขาว่า Google ที่เพี้ยนมาจากคำว่า googol (ที่แปลว่าเลขหนึ่งตามด้วยศูนย์ 100 ตัว) สังเกตสัญลักษณ์ของ Gooooooooooooooooooooogle และ Server ของ Google เมื่อปี 1998 สมัยที่ยังอยู่ที่สแตนฟอร์ด เป็นเครื่องที่ได้จากการบริจาคทุกเครื่อง ขณะที่ปัจจุบัน Search Engine ของ Google ทำงานอยู่บน Linux Server Farm จำนวนประมาณ 250,000 เครื่อง

Google เวอร์ชั่นแรกถูกปล่อยออกสู่สาธารณชนไว้บนเว็บของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นครั้งแรก ตอนเดือนสิงหาคม 1996 เพียง 1 ปี หลังจากที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก – เพียงไม่กี่เดือนนับจากเริ่มศึกษาปัญหา ทั้งสองคนคืออัจฉริยะจริง ๆ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกอินเทอร์เน็ตไปโดยสิ้นเชิง และภายหลังทั้งสองคนได้พัฒนา Google Search Engine มาเรื่อย ๆ และได้จดทะเบียนโดเมนเนม Google วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1997 ภายหลังได้ก่อตั้งบริษัทชื่อกูเกิล ในปี ค.ศ. 1998

ในปี ค.ศ. 2004 ผู้ก่อตั้งทั้งสองของกูเกิลได้เปลี่ยนมาเป็นบริษัทมหาชนและเข้าสู่ตลาดหุ้นแนสแดค (NASDAQ) โดยใช้ดัชนีชื่อGOOG หุ้นของกูเกิลในช่วงทำ Initial Public Offering (IPO) มีมูลค่าสูงขึ้นมากกว่า 200%
นอกจากการเป็น Search Engine แล้วกูเกิลยังมีบริการอื่น ๆ อีกไม่ว่าจะป็นกูเกิลเอิร์ท ค้นหาภาพถ่ายทางอากาศ, กูเกิลแอนะไลติกส์ บริการเก็บข้อมูลสถิติ, กูเกิลโลคอล บริการค้นหาสถานที่ รวมถึงร้านอาหาร ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

จากเด็กสองคนที่สนใจวิชาคณิตศาสตร์และมีพ่อแม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ จนในที่สุดพวกเขาแปลงสภาพสินทรัพย์ทางปัญญามาเป็นผลิตภัณฑ์ จนในระยะเวลาเพียง 8 ปี จากการเริ่มต้นทำธุรกิจ ทำให้พวกเขามีสินทรัพย์ถึงคนละ 5 แสนล้านบาท และกลายเป็นผู้ที่รวยที่สุดอันดับที่ 26 และ 27 ของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บ ในปี 2006 ในอายุเพียง 33 ปี เท่านั้น




เพจ & บริน


จากหนังสือพิมพ์ “โพสต์ทูเดย์”
โดย วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ
http://www.bnbuy.com/news/20060811/google-history.php





Linux
                                                      
ประวัติของลีนุกซ์

วันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1991 นักศึกษาชาวฟินแลนด์ Linus Benedict Torvald กำลังศึกษาอยู่ที่ University of Helsinki ได้เขียนข้อความโพสต์ขึ้นไปยังยูสเน็ต comp.os.minix ว่าเขาได้สร้างระบบปฏิบัติการขนาดเล็กที่เหมือนกับระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ขึ้น ชื่อว่า Linux โดยเป็นการพัฒนาต่อมาจากระบบปฏิบัติการ Minix ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Andy Tanenbaum

อันที่จริง Linux ตัวแรกได้มีการเผยแพร่เฉพาะ source code ไปก่อนหน้านี้ และถือว่าเป็นเวอร์ชั่น 0.01 โดย Linus ได้เปิดให้ดาวน์โหลดได้จาก ftp://nic.funet.fi

&nbspLinux ที่เผยแพร่ในครั้งนี้มีเวอร์ชั่น 0.02 ซึ่งผ่านการคอมไพล์แล้ว และสามารถรันเชลล์ bash ( GNU Bourne Again Shell ) และ gcc ( GNU C Compiler ) ได้ รวมทั้งมีความสามารถอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาสิ่งนี้ก็เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับบรรดาผู้ที่มีงานอดิเรกเกี่ยวกับ kernel และ แฮกเกอร์

&nbspLinux เริ่มต้นที่เวอร์ชั่น 0.02 พัฒนาขึ้นเป็น 0.03 และกระโดดเป็น 0.10 ด้วยการพัฒนาจากโปรแกรมเมอร์จำนวนมากมายทั่วโลก จนถึงเวอร์ชั่น 0.95 จนกระทั้งออกเป็นเวอร์ชั่น 1.0 อย่างเป็นทางการ ( Official release ) ในเดือนมีนาคม 1992 จากนั้นก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ ( วันที่เขียน ) เคอร์เนล ของ Linux มีเวอร์ชั่นล่าสุดเป็น 2.2.3

ณ วันนี้ Linux เป็นระบบปฏิบัติการประเภท Unix-liked ที่สมบูรณ์ และได้รับความสนใจอย่างสูง ใครเลยจะรู้ว่า โปรเจคของนักศึกษาที่ Torvald สร้างขึ้น จะก้าวขึ้นสู่ระดับ mainstream operating system และเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ เช่นทุกวันนี้

&nbspLinux ได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง ภายใต้ข้อกำหนดของ Free Software ซึ่งมีหน่วยงานที่ควบคุมเงื่อนไข อย่างเช่น GNU จึงทำให้มีข้อแตกต่าง จากระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ที่มีการจำหน่ายเชิงธุรกิจ และมีราคาแพง Linux มีการแปลงโปรแกรมไปสู่แพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจาก i386 ได้แก่ Sparc ,Alpha และ Macintosh ทำให้โปรแกรมเมอร์ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจที่จะพัฒนาโปรแกรมขึ้นสนับสนุน Linux มาขึ้น ส่งผลให้ Linux มีซอฟต์แวร์สนับสนุนเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะเป็นซอฟต์แวร์ที่มีราคาถูก หรือฟรี และเปิดเผยโปรแกรมต้นฉบับ ( Open Source Code ) ตามเงื่อนไขของ GPL ( General Public License )

จากการคาดการของ IDC ( International Data Corporation of Framingham, Messachusette ) แจ้งไว้ว่าการเติบโตของ Linux จะมีส่วนแบ่งตลาด คิดเป็นร้อยละ 17.2 ในปี ค.ศ. 1998

ในช่วง 4 - 5 ปี ที่ผ่านมา มีบริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งได้นำเคอร์เนลของ Linux มารวมเข้ากับซอฟต์แวร์ทั้งแบบฟรี และจำหน่ายเชิงการค้า เกิดเป็น Linux Distribution ต่าง ๆ ขึ้น เป็นจำนวนมากมาย เช่น Redhat ,TurboLinux ,SUSE ,Slackware ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตเหล่านี้ ช่วยให้การติดตั้ง ใช้งาน สะดวกมากยิ่งขึ้น ในราคาที่คุ้มค่ากว่าระบบปฏิบัติการอื่น ๆ

ในปัจจุบัน ( ค.ศ. 2001 ) มีการนำ Linux มาใช้งานในกิจการต่าง ๆ มากขึ้น โดยที่เน้นไปที่งานด้านระบบเซิร์ฟเวอร์ และเครือข่ายเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการประยุกต์ใช้งาน Linux เพื่อใช้งานเป็น เครื่องลูกข่าย หรือใช้งานด้านเดสทอปนั้นยังคงเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็มีแนวโน้มที่ชัดเจนที่จะพัฒนา Linux เพื่องานเดสทอปมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังเช่น Linux TLE 4.0 ของไทย หรือ Redmond Linux ของทางต่างประเทศ ก็ได้พัฒนา Linux เพื่อใช้งานด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ลีนุกซ์จะเข้ามามีบทบาทในระดับผู้ใช้ทั่วไป และสามารถทดแทนวินโดวส์ได้ในที่สุด

จาก http://gearsiam.com/index.php/component/kunena/12-linux/151--linux-
โดย Mr. Phaitoon K.


Microsoft

ประวัติของ Microsoft


บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์

บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา บิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1

ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นโปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800(เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน

เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)

ในปี ค.ศ. 1994 บิลล์ เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล

ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์ ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม

ตามรายงานของนิตยสารฟอบส์ เกตส์ได้บริจาคเงินให้การรณรงค์หาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2004 และตามรายงานของศูนย์เฝ้าระวังทางการเมือง เกตส์ถูกระบุว่าบริจาคเงินอย่างน้อย 33,335 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับการรณรงค์หาเสียงมากกว่า 50 ครั้ง ตลอดฤดูกาลเลือกตั้งในปีค.ศ. 2004

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2004 บิลล์ เกตส์ ได้ร่วมกับคณะกรรมการบริหารของ Berkshire Hathaway เพื่อสานความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างเขากับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ Berkshire Hathaway เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอา บริษัทประกันภัยไกโค Benjamin Moore (บริษัทสี) และ Fruit of the Loom (บริษัทสิ่งทอ) เข้าไว้ด้วยกัน เกตส์ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารของ Icos ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของ Bothell

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2005 สำนักวิเทศสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า บิลล์ เกตส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนที่ต่อสิ่งเขาได้อุทิศให้กับบริษัทในสหราชอาณาจักร และความพยายามของเขาในการลดปัญหาความยากจนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เขาจึงไม่สามารถใช้คำนำหน้าว่า เซอร์ ได้ แต่เราต้องใส่อักษร "KBE" (Knight Commander of The British Empire) ตามหลังชื่อของเขา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B9%8C#.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4









บิลล์ เกตส์




Apple

ประวัติผู้ก่อตั้ง Apple

สตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) (เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955) ผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ และ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นบุคคลชั้นนำในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ร่วมกับสตีฟ วอซเนียก ในปีค.ศ. 1976 เขาได้ช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่องApple II ต่อมา เขาได้เป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแอปเปิล แมคอินทอช สตีฟยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์


สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองกรีนเบย์ มลรัฐวิสคอนซินเป็นบุตรของนางโยฮานน์ ซิมพ์สัน และมีบิดาเป็นชายชาวอียิปต์ (ไม่ทราบชื่อ) ไม่นานต่อมา เด็กชายผู้นี้ได้ถูกรับไปอุปการะโดยนายพอลและนางคลารา จอบส์ ที่มีถิ่นพำนักอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว มลรัฐแคลิฟอร์เนีย น้องสาวร่วมสายเลือดของเขาชื่อ โมนา ซิมพ์สัน เป็นนักประพันธ์นวนิยาย

ในปีค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจากโฮมสตีดไฮสคูล ในเมืองคิวเปอร์ทีโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเขายังคงศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยรีด รวมทั้งเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ " ถ้าผมขาดเรียนวิชานั้นไปเพียงวิชาเดียวที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้" จอบส์กล่าว

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปีค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดิโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง"บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666

ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่องApple IIออก สู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่อง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่องApple IIIออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม

ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด

ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่องApple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้


จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับโจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ "iCon Steve Jobs" ได้กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกฉงนเนื่องจากพบว่าโจอานเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลน ขวัญใจของเขา (ผู้ซึ่งเคยพัวพันกับแบเอซ) และเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมจัณฑาล (Beat Generation) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัยๆว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด (แล้วเอาไปพูดต่อ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร

จอบส์เป็นมังสวิรัติปลา (ไม่ใช่มังสวิรัต หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน) — แม้ว่าเขาจะไม่ทานเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขาทานปลาในบางครั้ง

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกจากตับอ่อน เขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนซึ่ง ในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า "เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของ ร่างกาย " (islet cell neuroendocrine tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดแต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน

ในปีค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์วิลลีย์ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า "iCon Steve Jobs: The Greatest Second Act in the History of Business" เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่า


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%...%B8%AA%E0%B9%8C
Steve Jobs Headshot 2010-CROP.jpg
สตีฟ จอบส์ กับไอโฟน 4 ในการประชุมนักพัฒนาระดับโลก ปี พ.ศ. 2553
                          


Fecebook

       
                                  

                                                ประวัติผู้ก่อตั้ง Facebook

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แฮ็กเกอร์หนุ่มจากฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้ง Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่สุดของโลก จนโด่งดังเปรี้ยงปร้างไปทั่ว และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ประจำปี 2008 ขณะอายุเพียง 23 ปี โดยปัจจุบันมีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 400 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน วันที่ 4 ก.พ. ปี 2004

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก "มาร์ค" มีชีวิตแสนจะธรรมดา เขาเกิดในครอบครัวอเมริกันเชื้อสายยิว เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ปี 1984 โตมาในย่าน ดอบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพ่อเป็นหมอฟันและนักจิตวิทยา ชีวิตวัยเด็กของเขาค่อนข้างจะสุขสบาย ไม่เคยผ่านความลำบากยากจน เขามีพี่น้อง 4 คน ทว่า เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นเด็กเรียนเก่งออกแนวเนิร์ดๆ ชอบขลุกอยู่แต่ในห้อง

ไอเดียสำคัญที่จุดประกายให้นักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์ วัย 20 ปีคนนี้ ลุกขึ้นทำเฟซบุ๊กเกิดจากความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องคอมพิวเตอร์ และการเขียนโปรแกรม จนค้นพบปัญหาว่ามหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างฮาร์วาร์ดไม่มีระบบหนังสือรุ่นทางออนไลน์ เขาจึงนำไอเดียไปเสนอเพื่อขอจัดทำ แต่กลับถูกมหาวิทยาลัยปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่มีนโยบายให้นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว 

กระนั้น ด้วยความคันไม้คันมือ และอยากเอาชนะ เขาจึงสวมวิญญาณแฮ็กเกอร์เจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของฮาร์วาร์ด ดึงรูปนักศึกษาและประวัติส่วนตัวจากฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาเล่นเกม Hot or Not โดยโพสต์รูป นักศึกษาให้เพื่อนๆเข้ามาช่วยกันโหวตว่าใครฮอต หรือไม่ฮอต ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะภายในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้ามาโหวตถึง 450 คน สร้างสถิติคลิกชม 22,000 ครั้ง แต่แทนที่จะได้รับเสียงชมจากอาจารย์ เขากลับถูกมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเตอร์เน็ต 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุยต่อเพื่อสร้าง Facebook โดยเขานั่งเขียนโปรแกรมอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย และได้รับความช่วยเหลือจากรูมเมต "ดัสติน มาสโควิตซ์" ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก และรั้งตำแหน่งวีพีด้านเอนจิเนียริ่ง แรกเริ่มเขาพยายามเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาส่งรูปและข้อมูลส่วนตัวเข้ามาโพสต์บนเว็บไซต์ ซึ่งมีคนส่งรูปเข้ามาถึง 500 รูป ต่อมาได้พัฒนาโปรแกรมโดยสร้างเว็บเพจให้ เพื่อนร่วมชั้นสามารถส่งอีเมล์เข้ามาช่วยกันเขียนความคิดเห็น และเพิ่มเติม ประวัติได้อย่างไม่จำกัด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากเว็บไซต์ เพื่อสร้างสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษาฮาร์วาร์ด จึงขยายความฮิตฮอตไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆกว่า 30 สถาบัน

ชีวิตของเขาต้องมาถึงทางแยก เมื่อเขากับเพื่อนๆชวนกันเดินทางไปดูลาดเลาที่พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อหาเงินลงทุนก่อตั้งบริษัท และพัฒนาเว็บไซต์ ตอนนั้น พวกเขายังมีแผนจะกลับมาเรียนต่อในช่วงเปิดเทอม แต่ท้ายสุด เมื่อได้รับไฟเขียวอนุมัติเงินลงทุนถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพของ "บิลล์ เกตส์" ผู้สร้างตำนานลาออกจากฮาร์วาร์ด เพื่อมาสร้างไมโครซอฟท์ จึงผุดขึ้นตรงหน้า ทำให้ตัดสินใจทิ้งปริญญา และบอกกับตัวเองว่า ถ้าไมโครซอฟท์เจ๊งเมื่อไหร่...จะกลับไปเรียนฮาร์วาร์ดทันที!!

จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/column/oversea/around/70199


Mark Zuckerberg




   





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น