เว็บไซต์ Newsweek รวบรวม 8 อุปกรณ์-ผลิตภัณฑ์ไอทีที่ล้มเหลวในปี 2010 นี้
Microsoft Kin มือถือของไมโครซอฟท์ที่มีเวลาขายเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเลิกโครงการ
Nexus One แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่ล้มเหลวในแง่วิธีการขาย ซึ่งแปลกไปสักหน่อยกับผู้ใช้ในสหรัฐ
JooJoo Tablet แท็บเล็ตที่เคยฮือฮาว่าจะมาต่อกรกับ iPad แต่มีปัญหาข้อพิพาทเรื่องกฎหมายระหว่างผู้พัฒนากันเอง และตัวผลิตภัณฑ์ก็ไม่ดีจริงอย่างกระแส
Microsoft Courier แท็บเล็ตสองจอจากไมโครซอฟท์ ที่เป็นได้แค่คอนเซปต์
Skiff E-Reader เครื่องอ่านอีบุ๊กจอใหญ่ ที่โครงการล้มไปหลังบริษัทผู้พัฒนาถูกซื้อกิจการ และบริษัทแม่ไม่ทำต่อ
Cool-er E-reader แท็บเล็ต E Ink จอสี ที่ไปไม่รอดในทางธุรกิจ บริษัทเพิ่งล้มละลายไป
iPhone 4 สีขาว อุปกรณ์ที่ยังไม่เป็นจริง
Google Wave แนวคิดแปลกใหม่ แต่อาจมาก่อนกาลไปสักนิด
ข้อมูลจาก : blognone.com
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553
@ thaiware.เผยยอดโหลดซอฟต์แวร์ผ่านเว็บพุ่ง @
ไทยแวร์ดอทคอม ระบุโซเชียล เน็ตเวิร์ค อุปกรณ์พกพาสุดฮิต ดันยอดโหลดซอฟต์แวร์ผ่านเว็บปี 2553 โตกว่า 50%
ชี้ที่ผ่านมามีซอฟต์แวร์ไทยเปิดโหลดผ่านเว็บ 2,500 โปรแกรม คนไทยฮิตโหลดกว่า 4 ล้านคน ขณะที่ โปรแกรมภาคธุรกิจครองแชมป์ทำรายได้ให้ผู้พัฒนามากสุด
นายชัชวิทย์ ก่อตั้งเกียรติกุล ผู้บริหาร บริษัท ไทยแวร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์ไทยแวร์ดอทคอม (www.thaiware.com) กล่าวว่า ตลาดซอฟต์แวร์ ไทยปี 2553 มีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าปีก่อน 50% จากสภาพเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นโดยรวมที่แข็งกล้ามากขึ้น ทั้งยังมาจากอานิสงส์การเป็นที่นิยมของโซเชียล เน็ตเวิร์ค อย่างเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์พกพาต่างๆ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายซอฟต์แวร์ของคนไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
ทั้งนี้ จากการสำรวจจำนวนซอฟต์แวร์สัญชาติไทยที่มาให้บริการดาวน์โหลดบนเว็บมี 2,500 โปรแกรม จำนวนนี้เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้ใช้งานฟรี 80% มีประมาณ 500 โปรแกรมเท่านั้นที่พัฒนาออกมาเพื่อการค้า
นายชัชวิทย์ กล่าวว่า หากแยกย่อยออกไปตามลักษณะหมวดหมู่ของซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์ประเภทธุรกิจ เช่น ซอฟต์แวร์บัญชี และซอฟต์แวร์บริหาร กิจการด้านต่างๆ เช่น บริหารสต็อกสินค้า ร้านอาหาร โรงแรม ฯลฯ จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ และยังเป็นตัวชูโรงในการทำเงินให้แก่ผู้ผลิตได้มากกว่าโปรแกรมประเภทอื่นๆ อีกด้วย
"ที่มาแรงแซงทางโค้งในปีที่ผ่านมาคือ ซอฟต์แวร์ที่ พัฒนาขึ้นบนโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมา กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ส่งผลให้บรรดานักพัฒนาชาวไทยทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ต่างกระโดดเข้ามาลุยตลาดนี้กันมากขึ้น ทำให้มีโปรแกรมบนอุปกรณ์เหล่านี้ออกมาในท้องตลาดมากมายช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าแนวโน้มจะมีผลยาวไปถึงปีหน้าด้วย" นายชัชวิทย์ กล่าว
และนายธรรณพ สมประสงค์ ผู้บริหารอีกรายหนึ่ง กล่าวเสริมว่า ปีนี้จำนวนผู้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ไทย พุ่งแตะ 4 ล้านคนไปเมื่อเดือน พ.ย.2553 เทียบกับปีที่แล้วมีเพียง 2 ล้านคน ถือว่าโตขึ้น 50% โดยมาจากปัจจุบันมีธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนมาก หันมาให้ความสนใจนำซอฟต์แวร์เข้าช่วยบริหารจัดการธุรกิจของตัวเองให้ง่ายขึ้น
จากการสอบถามเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี พบว่า ซอฟต์แวร์ประเภทดังกล่าวมีอยู่มากในท้องตลาด ทั้งของไทยและต่างประเทศ เหตุที่เอสเอ็มอีเลือกซอฟต์แวร์ไทย เพราะตอบโจทย์ความต้องการได้มากกว่าซอฟต์แวร์ต่างประเทศ เช่น แบบฟอร์มเรื่องการยื่นภาษีกับกรมสรรพากร ที่ซอฟต์แวร์ของต่างประเทศยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเอสเอ็มอีได้ เป็นต้น
"ภาพรวมธุรกิจด้านซอฟต์แวร์ของ ไทย ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีจากสถิติที่สูงขึ้นมากในปีนี้ ปีหน้าคาดว่าจะโตขึ้นอีกเท่าตัว เพราะเป็นช่วงที่มีช่องว่างเทคโนโลยี และฮาร์ดแวร์ที่เปิดตัวออกมาใหม่ จึงอยากแนะนำให้นักพัฒนาชาวไทยปรับตัว และอาศัยจังหวะนี้เร่ง ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อสร้างรายได้ ทั้งยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยให้เติบโตมากขึ้นไปกว่านี้"
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
@ การเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์ @
เข้าสู่ฤดูกาลแห่งเทศกาลกันแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความคึกคักสดใส ไม่แตกต่างกับการเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของปี ก็ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ *** ส่งท้ายปีกับข้อมูลล่าสุดจาก การ์ทเนอร์ ที่ประเมินว่า มูลค่าตลาดซอฟต์แวร์โซเชียลสำหรับภาคธุรกิจ (อีเอสเอส) อาทิเช่น บล็อก วิกิ ฟอรัม และโปรแกรมป้อนข้อมูลอัตโนมัติ จะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 769 ล้านดอลลาร์ ในปีหน้า และอาจขยายตัวถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2555 เทียบกับมูลค่า 664 ล้านดอลลาร์ ที่คาดเอาไว้สำหรับปีนี้ หากตัว เลขคาดการณ์สำหรับปี 2553 ถูกต้อง ก็จะแสดงว่า ตลาดมีการเติบโตมาจากเมื่อปี 2552 ถึง 15% โดยในปีก่อนหน้านี้ ทั่วโลกใช้จ่ายด้านอีเอสเอสไป 578 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเครื่องมือในกลุ่มการใช้จ่ายนี้ รวมถึง เซลส์ฟอร์ซ ดอท คอม แชทเตอร์ ไอบีเอ็ม โลตัส คอนเนคชั่น และ ไมโครซอฟท์ แชร์พอยท์ *** เคยแต่ได้รับรางวัล หรือถูกยกย่องว่า มีไอเดียดี สินค้าใช้งานได้ยอดเยี่ยม แต่สิ้นปีนี้ แอ๊ปเปิ้ล คงถึงคราวสะอึกกันบ้าง เมื่อ เว็บไซต์เอ็นพีอาร์ หรือสถานีวิทยุสาธารณะของสหรัฐ เผยผลจัดอันดับไอเดียดี-แย่ประจำปีนี้ อันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไอที โดยเลือก ไอทูนส์ ปิง ของยักษ์ใหญ่รายนี้ เป็นหนึ่งใน ไอเดียยอดแย่ประจำปี เอ็นพีอาร์ ให้เหตุผลว่ารากฐานของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ การแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กันและกัน แต่วัฒนธรรมของแอ๊ปเปิ้ลเป็นบริษัทที่ไม่ชอบแบ่งปัน ทำให้ ปิงล้มเหลว โดยในขณะที่สื่อเครือข่ายสังคมรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือ มายสเปซ ล้วนแต่สามารถใช้งานจากอุปกรณ์ใดก็ได้ แต่ปิงกลับต้องใช้งานผ่านไอทูนส์เท่านั้น แถมในช่วงแรกๆ ของการเปิดตัว ยังบังคับให้แชร์ได้เฉพาะเพลงที่ซื้อจากไอทูนส์ สโตร์ อีกต่างหาก *** ต่อเรื่องจากค่ายแอ๊ปเปิ้ลกันอีกหน่อย กับข่าวดีๆ ที่ทำให้ยิ้มออก โดยบริษัทเผยว่า ในช่วงเวลาประมาณ 3 เดือน นับแต่วางตลาดเป็นครั้งแรกนั้น แอ๊ปเปิ้ล ทีวี รุ่นปรับปรุงใหม่ มียอดขายพุ่งขึ้นไปแตะ 1 ล้านเครื่องแล้ว แอ๊ปเปิ้ล ระบุด้วยว่า ผู้ใช้ไอทูนส์ และแอ๊ปเปิ้ล ทีวี มียอดการซื้อภาพยนตร์ 150,000 เรื่องต่อวัน และรายการทีวี 400,000 ตอนต่อวัน *** ข่าวไม่ดีอีกสักข่าว กับสถิติ 10 อันดับภาพยนตร์ที่ถูกดาวน์โหลด แบบผิดกฎหมายผ่านทางบิท ทอร์เรนท์ มากที่สุดในปีนี้ 2553 โดยตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของภาพยนตร์เรื่องอวตาร มียอดดาวน์โหลดสูงสุดถึง 16,580,000 ครั้ง ส่วนเรื่องเดอะ เฮิร์ท ล็อคเกอร์ ที่ได้รับรางวัลออสการ์ อยู่ในอันดับ 9 มียอดดาวน์โหลด 6,850,000 ครั้ง ***ปิดท้ายสัปดาห์ นี้ กับความคืบหน้าในเรื่องการควบคุมแวดวงอินเทอร์เน็ต เมื่อคณะกรรมการสื่อสารของสหรัฐ (เอฟซีซี) มีมติผ่านร่างกฎหมาย "ความเป็นกลางของเครือข่ายแบบมีข้อจำกัด" แม้จะยังไม่มี การเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ร่างดังกล่าว จะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การควบคุมความเป็นกลางของอินเทอร์เน็ต ที่ได้เชื่อมต่อด้วยสาย มากกว่าอินเทอร์เน็ตไร้สาย (เช่น บนโทรศัพท์มือถือ) ซึ่งหมายความว่า อาจมีการปิดทางให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย เรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ใช้บริการ ในกรณีที่ต้องการใช้งานที่มีข้อมูลปริมาณมาก อย่าง ยูทูบ ในขณะที่ผู้ให้บริการเครือข่ายผ่านระบบสาย จะต้องทำตามกติกาและให้บริการการเข้าถึงเว็บต่างๆ อย่างเป็นกลาง กรุงเทพธุรกิจ |
ยกเลิกครูหลักสูตร 5 ปี ในปี 56 ย้ำ! เป็นครูต้องจบ ป.โท เท่านั้น
ยกเลิกครูหลักสูตร 5 ปี ในปีการศึกษา 2556 แน่นอน "ไชยยศ" ย้ำอนาคตต้องการคนจบ ป.โท มาเป็นครูเท่านั้น สพฐ.ยกงานวิจัยผลการเรียนของเด็กจะดีหรือแย่ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของครูไม่ใช่วุฒิการศึกษา
นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีว่าช่วยการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ที่ประชุมมีมติการดำเนินการหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ใน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร 4+2 คือรับผู้จบจากสาขาวิชาอื่น ๆ มาเรียนต่อระดับปริญญาโท และหลักสูตรครู 6 ปี โดยทั้ง 2 หลักสูตรมีเงื่อนไขผูกพัน 2 รูปแบบดังนี้คือ การให้ทุนการศึกษาระหว่างเรียนและประกันการมีงานทำ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯ กำหนด สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รูปแบบที่ 2 คือ ประกันการมีงานทำแต่ไม่มีเงินทุนการศึกษาให้ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯ กำหนดเช่นเดียวกัน
โดยขณะนี้มีสถาบันที่ยืนยันว่าสามารถจะเปิดสอนหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่หลักสูตร 6 ปีในปีการศึกษา 2554 เบื้องต้น 36 สถาบัน จำนวน 85 สาขา ส่วนหลักสูตร 4+2 มีสาขาที่ผ่านการพิจาณาจากคณะกรรมการแล้วเบื้องต้นจำนวน 104 หลักสูตร จาก 34 สถาบัน โดยคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในกลางเดือนมกราคมปี 2554
นายไชยยศกล่าวต่อไปว่า ส่วนทุนครูพันธุ์ใหม่ในหลักสูตร 5 จะเปิดรับปี 54 เป็นปีสุดท้าย ขณะที่สถาบันที่ยังไม่พร้อมเปิดหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ก็ให้เปิดรับหลักสูตร 5 ปีได้ไปจนถึงปีการศึกษา 2555 แต่ในปีการศึกษา 2556 ก็จะไม่มีการเปิดรับหลักสูตรครู 5 ปีอีกแล้ว เนื่องจากการปรับครั้งนี้เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาและพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครูอย่าง สพฐ.และ สอศ.
"ส่วนตัวผมคิดว่าในอนาคตคนที่จบมาสอนเด็กควรจะต้องเป็นคนที่จบ ป.โท เพราะจะทำให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้น" นายไชยยศกล่าว
ด้าน ดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รอง กพฐ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาของครูที่จบ แต่ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่การเรียนการสอนของครูในห้องเรียนที่มีต่อเด็กมากกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์
นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีว่าช่วยการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ที่ประชุมมีมติการดำเนินการหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ใน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร 4+2 คือรับผู้จบจากสาขาวิชาอื่น ๆ มาเรียนต่อระดับปริญญาโท และหลักสูตรครู 6 ปี โดยทั้ง 2 หลักสูตรมีเงื่อนไขผูกพัน 2 รูปแบบดังนี้คือ การให้ทุนการศึกษาระหว่างเรียนและประกันการมีงานทำ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯ กำหนด สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รูปแบบที่ 2 คือ ประกันการมีงานทำแต่ไม่มีเงินทุนการศึกษาให้ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯ กำหนดเช่นเดียวกัน
โดยขณะนี้มีสถาบันที่ยืนยันว่าสามารถจะเปิดสอนหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่หลักสูตร 6 ปีในปีการศึกษา 2554 เบื้องต้น 36 สถาบัน จำนวน 85 สาขา ส่วนหลักสูตร 4+2 มีสาขาที่ผ่านการพิจาณาจากคณะกรรมการแล้วเบื้องต้นจำนวน 104 หลักสูตร จาก 34 สถาบัน โดยคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในกลางเดือนมกราคมปี 2554
นายไชยยศกล่าวต่อไปว่า ส่วนทุนครูพันธุ์ใหม่ในหลักสูตร 5 จะเปิดรับปี 54 เป็นปีสุดท้าย ขณะที่สถาบันที่ยังไม่พร้อมเปิดหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ก็ให้เปิดรับหลักสูตร 5 ปีได้ไปจนถึงปีการศึกษา 2555 แต่ในปีการศึกษา 2556 ก็จะไม่มีการเปิดรับหลักสูตรครู 5 ปีอีกแล้ว เนื่องจากการปรับครั้งนี้เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาและพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครูอย่าง สพฐ.และ สอศ.
"ส่วนตัวผมคิดว่าในอนาคตคนที่จบมาสอนเด็กควรจะต้องเป็นคนที่จบ ป.โท เพราะจะทำให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้น" นายไชยยศกล่าว
ด้าน ดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รอง กพฐ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาของครูที่จบ แต่ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่การเรียนการสอนของครูในห้องเรียนที่มีต่อเด็กมากกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์
@ "HMU" คำฮิตเกิดใหม่ในโลกเฟซบุ๊ค @
คำฮิตเกิดใหม่ของเหล่าชาวเน็ตเฟซบุ๊ค นอกจาก "OMG" ที่ย่อมาจาก "Oh my god"
หรือ "ASAP" ที่ย่อมาจาก "As soon as possible" หรือ "BTW" ที่ย่อมาจาก "By the way"
ล่าสุด โผล่มาอีกคำคือ "HMU" ซึ่งย่อมาจาก "hit me up" เป็นคำฮิตใหม่ที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน
ซึ่งใช้ในเฟซบุ๊ค โซเชี่ยลเน็ตเวิร์กยอดนิยม โดยมีความหมายว่า "ชวนคนบางคนออกไปเดท"
และยังกลายเป็นวลีที่ป็อปปูล่าที่สุดในเฟซบุ๊คอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังสื่อไปถึงอีกความหมายว่า "ไปเจอกันเถอะ" และ "ติดต่อฉันด้วย"
ในขณะที่คำว่า "World Cup" และ "movies" เป็นคำยอดนิยมอันดับ 2 และ 3
ตามมาด้วยคำว่า "iPhone 4" และ "iPad" เป็นอันดับ 4 ส่วนคำว่า "Haiti" เป็นอันดับ 5
ข้อมูลจาก.. มติชน
OLED เทคโนโลยีใหม่สำหรับจอภาพ
OLED ( Organic Light Emitting Devices ) ทางบริษัท TDK ได้นำเสนอเทคโนโลยี OLED จอแสดงผลรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติคล้ายฟิล์ม คือมีความโปร่งใสจนสามารถมองเห็นทะลุได้ และจะเปล่งแสงเมื่อได้รับ พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังสามารถแสดงภาพในขณะที่จอถูกดัดให้โค้งงอได้อีกด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีจอแสดงผลชนิดนี้ที่เหนือกว่าจอที่ทำจาก แก้วที่แตกร้าวได้ง่าย
TDK คาดว่าจะเริ่มผลิตฟิล์มแสดงผลภายในหนึ่งปี นั่นหมายความว่า เราอาจจะได้เห็นมือถือที่ใช้จอ OLED ชนิดนี้ก่อนสิ้นปี 2011 ก็ได้ โดยนอกจากจะผลิตจอแสดงผลดังกล่าว เพื่อใช้กับมือถือแล้ว TDK ยังมองว่า ฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ยังเหมาะกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สวมใส่ (wearable electronics) อย่างเช่น แว่นตาแสดงผล Augmented Reality ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตรงหน้า และภาพกราฟิกที่ปรากฎบนฟิล์ม OLED ที่ใช้แทนกระจกแก้ว หรือด้วยความที่มันมีความยืดหยุ่นโค้งงอได้
ในบูธของ TDK ยังได้มีการนำเสนอสายรัดข้อมือที่มาพร้อมกับฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ รวมถึงใน อนาคตสามารถพัฒนาเป็นวิวไฟน์เดอร์ของกล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่ใช้หน้าจอชนิดนถ่ายรูปสำหรับ Cameraphone ได้เลย จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ก็คือ ภาพที่สว่างสดใสจนสามารถมองเห็นภายใต้แสงสว่างในธรรมชาติ และพวกที่ชอบก้ม หน้าดูมือถือเวลาเดินก็จะไม่ตกท่อ เพราะจอใส :สำหรับต้นแบบที่นำมาโชว์จะมีขนาด 2 และ 3.5 นิ้ว แต่จะมีความละเอียดสูงถึง 200 พิกเซลต่อนิ้ว
ข้อมูลจาก : arip
10 วิธีการปรับแต่ง Firefox ให้ทำงานได้เร็วขึ้น
|
ด่วน!!! พบช่องโหว่ร้ายแรงใน IE 6,7,8
สำหรับช่องโหว่ใหม่ที่พบนี้รายงานโดย VUPEN Security บริษัทระบบรักษาความปลอดภัยในฝรั่งเศษ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยส่งผลกระทบกับบราวเซอร์ Internet Explorer เวอร์ชัน 6, 7 และ 8 ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7
VUPEN ได้จัดระดับความรุนแรงของช่องโหว่นี้เป็น "วิกฤต" (critical) เนื่องจากช่องโหว่ดังกล่าวจะสามารถทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการจัดการหน่วยความจำของกลไกการวิเคราะห์คำสั่ง HTML โดยเฉพาะขั้นตอนในการนำเข้า CSS ของหน้าเว็บ ซึ่งผู้บุกรุกสามารถสร้างหน้าเว็บโดยอาศัยช่องโหว่ของการทำงานที่พบนี้ ส่งโค้ดอันตรายเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อด้วยการข้ามผ่าน (bypass) DEP และ ASLR ระบบรักษาความปลอดภัยที่มากับ Windows ได้ แต่ประเด็นที่น่ากลัวก็คือ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โค้ดอันตรายที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ในเครื่องมือแฮคที่ชื่อว่า Metasploit บนอินเทอร์เน็ตแล้ว (ตัวอย่างในคลิปวิดีโอข้างล่าง โชว์ให้เห็นการบายพาสระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสั่งรันโปรแกรมเครื่องคิดเลขจากหน้าเว็บที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าว)
*Update [25 DEC 2010 @8:25 a.m.] ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ออกมาแจ้งเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่นี้แล้ว แม้จะไม่ได้แจงรายละเอียดว่า เหตุใดช่องโหว่ดังกล่าวถึงเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์บายพาสระบบรักษาความปลอดภัยได้ แต่แนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดเครื่องมือของทางบริษัทชื่อว่า Enhanced Mitigation Experience Toolkit เพื่อบังคับให้ระบบโหลด DLLs (ไลบรารี่ของทุกโปรแกรม) เข้าไปในที่ปลอดภัย (ASLR:Address Space Layout Randomisation) ซึ่งจะทำให้การโจมตีไม่สามารถทำได้สำเร็จ สำหรับวิดีโอสาธิตการใช้เครื่องมือนี้สามารถคลิกเข้าไปชมได้ในเว็บไซต์ Technet
ข้อมูลจาก: VUPEN
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
@ มือถือ ผ่านดาวเทียม @
เมื่อ: ตอนเช้า, 8.27 น.
มือถือผ่านดาวเทียม
บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือไอเน็ต ร่วมกับ สิงคโปร์ เทเลคอม มูนิเคชั่นส์ ลิมิเต็ด หรือสิงเทล
นำเข้าไอ แซตโฟนโปร โทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านสัญญาณ ดาวเทียมเครื่องแรกที่ใช้ระบบอิมมาแซต ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลก
เหมาะสำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางระหว่างประเทศตลอดเวลา
ซัมซุงสองซิม โทรศัพท์มือถือซัมซุง รุ่น พันช์ สองซิม สำหรับผู้ที่ชอบคุยและชอบ แชต รับสายได้ขณะ กำลังแชต
รองรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์และมายสเปซ จอทีเอฟ ที คีย์บอร์ดคิวเวอร์ตี้ ราคาประมาณ 3,990 บาท
มาจาก.. เดลินิวส์
บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือไอเน็ต ร่วมกับ สิงคโปร์ เทเลคอม มูนิเคชั่นส์ ลิมิเต็ด หรือสิงเทล
นำเข้าไอ แซตโฟนโปร โทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านสัญญาณ ดาวเทียมเครื่องแรกที่ใช้ระบบอิมมาแซต ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลก
เหมาะสำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางระหว่างประเทศตลอดเวลา
ซัมซุงสองซิม โทรศัพท์มือถือซัมซุง รุ่น พันช์ สองซิม สำหรับผู้ที่ชอบคุยและชอบ แชต รับสายได้ขณะ กำลังแชต
รองรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์และมายสเปซ จอทีเอฟ ที คีย์บอร์ดคิวเวอร์ตี้ ราคาประมาณ 3,990 บาท
มาจาก.. เดลินิวส์
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553
@ โน้ตบุ๊กจอ12.5นิ้ว รุ่นแรกของโลก @
ตลาดโน้ตบุ๊กจอเล็กกว่า 14 นิ้วมีช่องว่าง “เลอโนโว” ออก 2 รุ่นใหม่ จอ 12.5 นิ้วรุ่นแรกของโลก
มากับอินเทอร์คอร์ไอ 5 และ คอร์ไอ 3 ปีหน้าเล็งออกรุ่นใหม่ทุกไตรมาส ส่วนแท็บเลตต้องรอไตรมาส 2 ปีหน้า
นายขจรเกียรติ อร่ามรัศมีกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและย่อม บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาโน้ตบุ๊กที่ขายดีมากที่สุดในตลาด คือ ขนาดจอ 14 นิ้ว แต่จากการศึกษาตลาด พบว่าโน้ตบุ๊กหน้าจอที่เล็กกว่าก็ยังมีช่องทางการทำตลาดอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา นักท่องเที่ยว รวมทั้งนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อย เพราะเน็ตบุ๊กยังมีประสิทธิภาพไม่ตรงความต้องการใช้งาน จึงได้เปิดตัวโน้ตบุ๊ก 2 รุ่น คือ ไอเดียแพด ยู 160 และ ยู 260 จุดเด่นที่บางเบา พกพาสะดวก
รุ่น ยู 260 เป็นโน้ตบุ๊กหน้าจอขนาด 12.5 นิ้ว เป็นรุ่นแรกของโลก ใช้หน่วยประมวลผลของ อินเทล คอร์ไอ 5 ที่กินไฟน้อยเพียง 18 วัตต์ ทำให้แบตเตอรี่ใช้ได้นานถึง 5 ชม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และบางเพียง 0.71 นิ้ว หน้าจอช่วยลดแสงสะท้อน แป้นพิมพ์ถูกออกแบบมาให้มีตัวระบายความร้อนรองรับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ส่วนรุ่น ยู 160 ใช้หน่วยประมวลผล อินเทล คอร์ไอ 3 มีหน่วยความจำสูงถึง 500 กิกะไบต์ มีความหนา 1 นิ้ว น้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม เชื่อมต่อไว-ไฟได้ ซึ่งทั้งสองรุ่นจะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการเดือน ม.ค. ปีหน้า
สำหรับภาพรวมตลาดโน้ตบุ๊กปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% ส่วนในปีหน้าจะเติบโตประมาณ 10% เช่นกัน เลอโนโวมีนโยบายออกสินค้าใหม่ ๆ ในทุกไตรมาส ส่วนแท็บเลตคาดว่าจะนำเข้าในไตรมาสที่สองของปี 2554.
มาจาก .. เดลินิวส์
มากับอินเทอร์คอร์ไอ 5 และ คอร์ไอ 3 ปีหน้าเล็งออกรุ่นใหม่ทุกไตรมาส ส่วนแท็บเลตต้องรอไตรมาส 2 ปีหน้า
นายขจรเกียรติ อร่ามรัศมีกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน ธุรกิจขนาดกลางและย่อม บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาโน้ตบุ๊กที่ขายดีมากที่สุดในตลาด คือ ขนาดจอ 14 นิ้ว แต่จากการศึกษาตลาด พบว่าโน้ตบุ๊กหน้าจอที่เล็กกว่าก็ยังมีช่องทางการทำตลาดอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา นักท่องเที่ยว รวมทั้งนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อย เพราะเน็ตบุ๊กยังมีประสิทธิภาพไม่ตรงความต้องการใช้งาน จึงได้เปิดตัวโน้ตบุ๊ก 2 รุ่น คือ ไอเดียแพด ยู 160 และ ยู 260 จุดเด่นที่บางเบา พกพาสะดวก
รุ่น ยู 260 เป็นโน้ตบุ๊กหน้าจอขนาด 12.5 นิ้ว เป็นรุ่นแรกของโลก ใช้หน่วยประมวลผลของ อินเทล คอร์ไอ 5 ที่กินไฟน้อยเพียง 18 วัตต์ ทำให้แบตเตอรี่ใช้ได้นานถึง 5 ชม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และบางเพียง 0.71 นิ้ว หน้าจอช่วยลดแสงสะท้อน แป้นพิมพ์ถูกออกแบบมาให้มีตัวระบายความร้อนรองรับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ส่วนรุ่น ยู 160 ใช้หน่วยประมวลผล อินเทล คอร์ไอ 3 มีหน่วยความจำสูงถึง 500 กิกะไบต์ มีความหนา 1 นิ้ว น้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม เชื่อมต่อไว-ไฟได้ ซึ่งทั้งสองรุ่นจะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการเดือน ม.ค. ปีหน้า
สำหรับภาพรวมตลาดโน้ตบุ๊กปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% ส่วนในปีหน้าจะเติบโตประมาณ 10% เช่นกัน เลอโนโวมีนโยบายออกสินค้าใหม่ ๆ ในทุกไตรมาส ส่วนแท็บเลตคาดว่าจะนำเข้าในไตรมาสที่สองของปี 2554.
มาจาก .. เดลินิวส์
@ Google เผยสุดยอดคำค้นแห่งปี ของไทย @
สุดยอดคำค้นแห่งปี
กูเกิล เผยคำค้นหายอดนิยมของไทยประจำปี 2553 หนึ่งปีแห่งการค้นหาประจำปีเสือ
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นในเมืองไทยตลอดปี 2553 เช่น การชุมนุมทางการเมือง อุทกภัยที่ชาวไทยทั่วประเทศได้ร่วมใจกันช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการจากไปอย่างวีรบุรุษของจ่าเพียร ล้วนเป็นข่าวเด่นที่อยู่ในความสนใจของคนไทยในปีนี้
จนถึงนักท่องเที่ยวมักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเก๋ๆ หรือกำลังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะสถานที่ที่มีเรื่องราวหรือมีความโดดเด่นจนได้ออกรายการทีวี หรือมีการพูดถึงบนอินเทอร์เน็ต เช่น ศรีพันวา รีสอร์ทหรูที่เกาะภูเก็ต, ที่พักบนเกาะล้าน จังหวัดชลบุรี และตลาดน้ำอัมพวา
ตลอดจนเทคโนโลจี3จี เข้ามาอยู่ในความสนใจของชาวไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเวลาที่จะมีการประมูลใบอนุญาตแต่ความสนใจดังกล่าวก็ลดระดับลงไป อย่างน่าเสียดายในตอนท้าย ทันทีที่การประมูลต้องถูกระงับไป
และ เพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมอย่าง “เพลงลูกเทวดา” มาแรงฉุดไม่อยู่ ส่วนรายการเรียลลิตี้ยอดฮิต “เดอะสตาร์ 6” ก็มีแฟนคลับติดตามให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่นไม่หลุดโผ
วันนี้ กูเกิลประกาศ ผลไซต์ไกสต์ประจำปี 2553 ซึ่งเป็นการมองย้อนกลับไปทั้งปีผ่านสายตาสาธารณะของโลกออนไลน์ ผลไซท์ไกสท์นี้จะเปิดมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ให้คุณได้ย้อนนึกถึงเหตุการณ์สำคัญและเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในรอบปี โดยดูจากการค้นหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทย
ประเทศที่ทำให้ใครต่อใครตื่นตาตื่นใจได้เสมอ สิ่งที่คนไทยค้นหาบ่งบอกเรื่องราวหลากหลายที่แสดงถึง "วิถีแบบไทยๆ" สถานการณ์ทางการเมืองดูเหมือนจะเป็นเรื่องเด่นของปีนี้ ที่ชาวไทยให้ความสนใจค้นหาข้อมูลกันอย่างล้นหลาม ตามมาด้วยเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่ คนไทยสามารถรวมตัวกันได้อย่างน่าทึ่ง และรวมน้ำใจแสดงพลังไปช่วยผู้เดือดร้อน
ขณะเดียวกันคนไทยกับความบันเทิงก็ยากที่จะแยกจากกัน เห็นได้จากเพลงลูกทุ่งสะท้อนสังคมที่มาแรง รวมถึงรายการเดอะสตาร์ที่มีคนจำนวนมากติดตามอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่เรื่องราวในครอบครัวของดาราที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมาจนถึงสิ้น ปีไม่หลุดโผ
ทั้งยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีอินเทรนด์ต่างๆ เช่น iPad iPhone หรือ Blackberry และ Nokia ก็ได้รับความสนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทที่โดดเด่นมากในปีนี้ เช่น facebook และ YouTube
รายการคำค้นหาด้านล่างจะเปิดให้คุณได้สัมผัสกับไซต์ไกสต์ หรือ จิตวิญญาณแห่งกาลเวลาของประเทศไทยในปี 2553
คำค้นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี
1.เพลงลูกเทวดา
2.ipad
3.iphone 4
4.the star 6
5.เพลงเหงาปาก
6.facebook
7.ตารางบอล
8.ยูทูป
9.photoscape
10.รามคำแหง
บันเทิงเริงใจ
1.the star 6
2.พระจันทร์ลายพยัคฆ์
3.ซอน ต๊อก
4.วนิดา
5.มาลัยสามชาย
6.inception
7.ธาราหิมาลัย
8.กุหลาบไร้หนาม
9.ไทรโศก
10.เดี่ยว 8
รวมข่าวเด่น
1.สถานการณ์ เสื้อแดง
2.ข่าวน้ำท่วม
3.จ่าเพียร
4.ยุบพรรคประชาธิปัตย์
5.เสธแดง
6. อริสมันต์หนี
7.แอร์พอร์ตลิงค์
8.พงษ์พัฒน์
9.เซ็นทรัลเวิล์ดถล่ม
10.ปาเกียว
กีฬา
1.ฟุตบอลโลก 2010
2.เมืองทอง ยูไนเต็ด
3.ลิเวอร์พูล
4.ศรีสะเกษ fc
5.มวยปล้ำ
6.ขอนแก่น fc
7.ฟุตบอลยูฟ่า
8.siamsport
9.ชลบุรี fc
10.torres
คนดังหน้าจอ
1.cn blue
2.zee
3.i love kamikaze
4.justin bieber
5.แอนนี่
6.ธัญญ่า
7.2pm always
8.4minute
9. มิน
10.กัน
ธุรกิจชั้นนำ
1.toyota thailand
2.nissan thailand
3.major cineplex
4.air asia thailand
5.htc thailand
6.dtac
7.agoda thailand
8.kasikorn bank
9.super rich
10.apple thailand
เทรนไอทีมาแรงแห่งปี
1.facebook
2.iPhone 4g
3.Nokia 5233
4.Commart 2010
5.palringo
6.blackberry bold 9700
7.settrade.com
8.nexus one
9.qr code
10.photoscape
พักผ่อนและท่องเที่ยว
1.ศรีพันวา
2.ที่พัก เกาะล้าน
3.ตลาดน้ำอัมพวา
4.ท้องฟ้าจำลอง
5.ศาลเจ้าพ่อเสือ
6.เกาะสมุย
7.ทัวร์เกาหลี
8.เพลินวาน
9.ทัวร์สิงคโปร์
10.ตลาดโรงเกลือ
คำค้นหาที่มาแรงทั่วโลก
1. chatroulette
2. ipad
3. justin bieber
4. nicky minaj
5. friv
6. myxer
7. katy perry
8. twitter
9. gamezer
10. facebook
*ทั้งหมดเป็นคำค้นที่มาแรงที่สุดของแต่ละหมวดซึ่งได้ตัดคำที่ซ้ำออกไปแล้ว
ที่มา.. กรุงเทพธุรกิจ
บิลล์เกตส์เชื่ออีก 5 ปี "คนจะเรียนผ่านเน็ต"
บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ แสดงวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาไว้บนเวทีงาน Techonomy ซึ่งจัดขึ้นที่แคลิฟอร์เนียเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบิลล์ เกตส์มองอนาคตของโลกการศึกษาว่า อินเทอร์เน็ตจะเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ของประชากรโลกในอีก 5 ปีนับจากนี้ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา
"อีก 5 ปีนับจากนี้ คุณจะสามารถค้นหาเลกเชอร์หลายๆ บทที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างอิสระจากเว็บไซต์" ซึ่งเกตส์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะดีกว่าการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียว
ความเชื่อนี้ของเกตส์เกิด ขึ้นเพราะปัจจัยเสริม 2 ด้าน หนึ่งคือด้านค่าใช้จ่ายของการเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยในสหรัฐฯนั้น ค่าใช้จ่ายของการเรียนมหาวิทยาลัยโดยเฉลี่ยนั้นสูงถึง 200,000 เหรียญต่อ 4 ปี (ราว 6.3 ล้านบาท) ปัจจัยที่ 2 คือข้อจำกัดของตำราเรียน ซึ่งโลกอินเทอร์เน็ตจะมีผลให้นักศึกษาในเอเชียสามารถเข้าถึงตำราเรียนได้ ทั่วถึงยิ่งขึ้น
เกตส์มองว่าการศึกษาผ่านเว็บไซต์ในอนาคตจะมีการให้เครดิตหรือใบ ประกาศที่สามารถนำไปอ้างอิงเพื่อการประกอบอาชีพได้ เชื่อว่าอัตราค่าเล่าเรียนที่นักศึกษาอเมริกันต้องชำระจะลดลงจาก 50,000 เหรียญต่อปี (ราว 1.5 ล้านบาท) ลงมาอยู่ที่ 2,000 เหรียญต่อปี (ราว 63,000 บาท)
วิสัยทัศน์ของเกตส์นั้นถูกมองว่าสมเหตุสมผล เนื่อง จากการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตไม่เพียงจะสามารถแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายสูงซึ่งเป็น ปัญหาในหลายครอบครัวแล้ว ยังสามารถรองรับการเรียนแบบไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะในแง่จำนวนนักเรียนที่มากขึ้น ที่สำคัญ ขณะนี้สถาบันการศึกษาจำนวนมากต่างมีสื่อการสอนออนไลน์ที่เปิดกว้างให้นิสิต สามารถเข้าถึงได้จากออนไลน์อยู่แล้ว หากนักศึกษาอิสระจะใช้ประโยชน์จากสื่อการสอนเหล่านี้บ้าง ก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แปลว่ามหาวิทยาลัยและโรงเรียนจะลดความสำคัญในสังคมลง แต่ส ถาบันการศึกษาจะมีผลต่อสังคมในวงกว้างขึ้นเนื่องจากสามารถเปิดกว้างให้ผู้ ใฝ่เรียนทั่วไปเข้ามาศึกษาหาความรู้ได้มากขึ้นด้วยเงินไม่มาก ขณะเดียวกันนักเรียนก็สามารถทำงานและสนับสนุนตัวเองได้ง่ายขึ้นขณะเรียน โดยขณะนี้ รูปแบบการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตแนวคิดเดียวกับเกตส์นั้นเกิดขึ้นแล้วในชื่อ The Open University เปิดให้บริการในบางกลุ่มประเทศ และเปิดกว้างให้ผู้ใฝ่รู้สามารถเรียนรู้ที่บ้านและรับใบประกาศได้ในราคา ประหยัด
** ยืนยันควรแจกแล็ปท็อปเด็ก **
งานนี้ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิหนึ่งแล็ปท็อปเพื่อเด็ก 1 คนหรือ One Laptop Per Child อย่างนิ โคลัส เนโกรพอนเต (Nicholas Negroponte) ออกมาให้ความเห็นบนเวทีกรณีแรงต่อต้านเรื่องการแจกคอมพิวเตอร์พกพาราคา ประหยัดแก่เยาวชนในประเทศกำลังพัฒนา ว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์หากมูลนิธิจะดำเนินการแจกคอมพิวเตอร์เพื่อ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างเดียวโดยไม่พัฒนาการศึกษาด้านอื่นควบคู่ไปด้วย จุดนี้เนโกรพอนเตระบุว่าไม่จริง เนื่องจากพบว่านอกจากเด็กๆ จะสามารถใช้งานแล็ปท็อปได้เองแล้ว ยังสามารถสอนให้ผู้ปกครองอ่านและเขียนภาษาบนแล็บท็อปได้ด้วย
"เยาวชนในพื้นที่ห่างไกลไม่เพียงสอนตัวเองให้อ่านและเขียนได้ เราพบว่าในเปรู เด็กๆ สามารถสอนผู้ปกครองให้อ่านหรือเขียนบนแล็ผท็อปของตัวเองด้วย"
เนโกรพอนเตยกตัวอย่างเยาวชนในอัฟกานิสถาน ว่าเยาวชนมากกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้ไปโรงเรียนกว่า 75% เป็นเด็กหญิง อย่างไรก็ตาม การสำรวจยังพบว่าคุณครูชาวอัฟกันราว 1 ใน 4 เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ โดยอีกส่วนเป็นคุณครูที่จบการศึกษาในระดับที่เหนือกว่านักเรียนเพียง 1 ระดับเท่านั้น
จุดนี้เองที่เนโกรพอนเตมองว่าเยาวชนจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในประเทศได้ โดยขณะนี้ คอมพิวเตอร์พกพาในโครงการ OLPC ราว 2 ล้านเครื่องถูกจัดส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาเรียบร้อยแล้ว
เนโกรพอนเตย้ำว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ เจียดเงินงบประมาณเพียง 1% จากงบจัดหายุทโธปกรณ์ 2,000 ล้านเหรียญต่อสัปดาห์ เยาวชนอัฟกันก็จะมีคอมพิวเตอร์พกพาใช้งานกันทุกคน
ที่มา :
ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 10 สิงหาคม 2553 08:34 น. |
ครม.เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการใช้ 13 ฟอนต์ไทยในงานราชการ
ครม.เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการโละฟอนต์ต่างชาติ บังคับใช้ 13 ฟอนต์ไทยในงานราชการ ระบุป้องกันละเมิดลิขสิทธิ์
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยดำเนินการติดตั้งฟอนต์สารบรรณและฟอนต์ อื่น ๆ ทั้งหมด จำนวน 13 ฟอนต์ ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (สอซช.) หรือ SIPA และกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มเข้าไปในระบบปฏิบัติการ Thai OS (Thai Operating System) และใช้ฟอนต์ดังกล่าวแทนฟอนต์เดิม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้ติดตั้งและใช้งานให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2553
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก ปัจจุบันส่วนราชการจำนวนมากมีการใช้ฟอนต์ที่หลากหลาย ไม่มีมาตรฐานในเอกสารทางราชการ อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการหลายแห่งใช้มาตรฐานฟอนต์ของบริษัทเอกชนที่ผูกขาด ลิขสิทธิ์ เช่น Angsana อาจมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้มีการพัฒนาและมีการประกวดแข่งขันฟอนต์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ Open Source Software ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีให้ส่วนราชการไทยประกาศมาตรฐานเอกสารดิจิตัลและรูปแบบ ของฟอนต์ที่ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการและลิขสิทธิ์ของบริษัทใด ๆ เพื่อความภาคภูมิใจในความเป็นชาติและเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ซึ่งในขณะนี้มีฟอนต์ที่ส่วนราชการไทยสามารถเป็นเจ้าของและพร้อมแจกจ่ายให้ กับผู้ประสงค์จะใช้งานรวม 13 ฟอนต์ ดาว์นโหล ตัวอย่าง รายละเอียด ขั้นตอนการติดตั้ง ได้ที่นี่ http://www.royalthaipolice.go.th/font.htm
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก ปัจจุบันส่วนราชการจำนวนมากมีการใช้ฟอนต์ที่หลากหลาย ไม่มีมาตรฐานในเอกสารทางราชการ อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการหลายแห่งใช้มาตรฐานฟอนต์ของบริษัทเอกชนที่ผูกขาด ลิขสิทธิ์ เช่น Angsana อาจมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้มีการพัฒนาและมีการประกวดแข่งขันฟอนต์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ Open Source Software ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีให้ส่วนราชการไทยประกาศมาตรฐานเอกสารดิจิตัลและรูปแบบ ของฟอนต์ที่ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการและลิขสิทธิ์ของบริษัทใด ๆ เพื่อความภาคภูมิใจในความเป็นชาติและเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ซึ่งในขณะนี้มีฟอนต์ที่ส่วนราชการไทยสามารถเป็นเจ้าของและพร้อมแจกจ่ายให้ กับผู้ประสงค์จะใช้งานรวม 13 ฟอนต์ ดาว์นโหล ตัวอย่าง รายละเอียด ขั้นตอนการติดตั้ง ได้ที่นี่ http://www.royalthaipolice.go.th/font.htm
ที่มา :
เขียนโดย มนตรี ดวงจิโน |
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2010 เวลา 17:05 น. http://eduit.pn.psu.ac.th/component/content/article/16-2009-10-14-09-04-34/305--13-.html |
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
5 สิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นใน iPad เวอร์ชั่น 2
แม้ iPad จะยังไม่มีขายเป็นเรื่องเป็นราวในเมืองไทยก็ตาม แต่หากนับจำนวนเครื่อง iPad ที่อาละวาดอยู่ในเมืองไทย ในตอนนี้ จากยอดสำรวจที่เค้าลองสำรวจกันมา อย่างน้อยในตอนนี้มีมากถึง 3 หมื่นเครื่อง หรืออาจจะเลยไปถึง 4 หมื่น ในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ และมีจำนวนผู้ต้องการจับจองเป็นเจ้าของ iPad อีกเพียบ พร้อมที่จะกุมเงินไปจ่ายทันทีหากมีการนำเข้าอย่างถูกต้องเป็นเรื่องเป็นราว เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการความั่นใจในการบริการหลังการขายและการประกัน ต่างๆ รวมทั้งสิทธิประโยชน์พิเศษที่จะได้รับในตอนซื้อเครื่อง เช่นการผ่อนชำระ หรือแพ๊คเกจ พ่วงกับการใช้งาน
และหลังจากข่าว iPad 2 ออกมา ย่อมทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าทั้งที่ใช้อยู่แล้วและกำลังจะซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังจะซื้อก็เกิดอาการชะงักเบรคตัวโก่งขึ้นมาทันที สำหรับข้อมูล iPad 2 นั้นมีออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งมีทั้งข่าวลือและข่าวจริงปนๆกันมา แต่จากข้อมูลจากเว็บไซด์ข่าวชื่อดังอย่าง Digitimes.com เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ iPad 2 เพิ่มเติมมาเรียบร้อยแล้วครับ โดยต้นตอก็มาจากทาง Economy Daily News (EDN) อีกที โดยยืนยันแล้วว่า Apple เตรียมยัด 5 ลูกเล่นใหม่ในเครื่อง iPad 2 ซึ่งได้แก่
1. Video Phone ซึ่งอาจจะหมายถึง Face time ก็ได้ โดยอาจะมีกล้องด้านหน้าตัวเครื่องแบบ iPhone 4 เพื่อใช้ในการสนทนาที่สะดวกขึ้น
2. Better Mobility ตัวเครื่องจะมีขนาดเล็กลง แต่หน้าจออาจจะยังคงความใหญ่เท่าเดิม มีความบางตัวเครื่องมากขึ้น ใช้กระจกพิเศษที่มีความบาง
3.มี USB Port ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนกำลังรออยู่ เพราะมันจะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น
4. หน้าจอชัดขึ้น ซึ่งอาจจะหมายถึงหน้าจอน่าจะมีการปรับปรุงใช้จอแบบเดียวกับ iPhone 4 ที่เป็นจอแบบ Retina Display ที่ให้ความคมชัด และสีสรรสวยมากขึ้น
5.3-axis gyroscopes ในส่วนนี้น่าจะมุ่งประโยชน์ไปทางเกมส์ และ App แปลกๆที่จะออกมาในอนาคตนั่นเอง
By http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=11903
และหลังจากข่าว iPad 2 ออกมา ย่อมทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าทั้งที่ใช้อยู่แล้วและกำลังจะซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังจะซื้อก็เกิดอาการชะงักเบรคตัวโก่งขึ้นมาทันที สำหรับข้อมูล iPad 2 นั้นมีออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งมีทั้งข่าวลือและข่าวจริงปนๆกันมา แต่จากข้อมูลจากเว็บไซด์ข่าวชื่อดังอย่าง Digitimes.com เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ iPad 2 เพิ่มเติมมาเรียบร้อยแล้วครับ โดยต้นตอก็มาจากทาง Economy Daily News (EDN) อีกที โดยยืนยันแล้วว่า Apple เตรียมยัด 5 ลูกเล่นใหม่ในเครื่อง iPad 2 ซึ่งได้แก่
1. Video Phone ซึ่งอาจจะหมายถึง Face time ก็ได้ โดยอาจะมีกล้องด้านหน้าตัวเครื่องแบบ iPhone 4 เพื่อใช้ในการสนทนาที่สะดวกขึ้น
2. Better Mobility ตัวเครื่องจะมีขนาดเล็กลง แต่หน้าจออาจจะยังคงความใหญ่เท่าเดิม มีความบางตัวเครื่องมากขึ้น ใช้กระจกพิเศษที่มีความบาง
3.มี USB Port ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนกำลังรออยู่ เพราะมันจะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น
4. หน้าจอชัดขึ้น ซึ่งอาจจะหมายถึงหน้าจอน่าจะมีการปรับปรุงใช้จอแบบเดียวกับ iPhone 4 ที่เป็นจอแบบ Retina Display ที่ให้ความคมชัด และสีสรรสวยมากขึ้น
5.3-axis gyroscopes ในส่วนนี้น่าจะมุ่งประโยชน์ไปทางเกมส์ และ App แปลกๆที่จะออกมาในอนาคตนั่นเอง
By http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=11903
ฮาร์ดดิสก์ 24TB แค่เรื่องจิ๊บๆ บนโน้ตบุ๊ก?
ความฝันที่จะได้ใช้งาน Notebook ความจุเยอะๆในอนาคตไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปหลังจากบริษัท Hitachi และองค์กร New Energy and Industrial Technology Development ได้เผยโฉมเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้ฮาร์ดดิสก์มีความจุและสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 8 เท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยให้การจัดเรียงตัวของวัสดุโพลีเมอร์ซึ่งจะนำมาใช้ใน Harddisk แบบใหม่นี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้พื้นที่ 1 นิ้วสามารถเก็บกักข้อมูลได้ถึง 488GB เลยทีเดียว ซึ่งหาก Hitachi นำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้งานกับฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันที่มีความจุอย่างมากแค่ 3TB ก็จะสามารถเพิ่มพื้นที่เข้าไปได้มากยิ่งกว่าเดิมถึง 24TB เลยทีเดียว ทางด้านของ Hitachi เองเตรียมที่จะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างเป็นทางการในงานประชุม Material Research Society ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ส่วนจะนำเอาไปใช้งานในการผลิตจริงเมื่อไหร่ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ By http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=11891 |
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เทเลพรีเซนต์ ห้องประชุมเสมือนจริง
เทเลพรีเซนต์ (Telepresence) เทคโนโลยีรองรับการประชุมทางไกล ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นหน้าตาและพูดคุยเสียงชัดเจน ใช้งานแล้วที่ ปตท.
หัวใจสำคัญที่ทำให้การประชุมทางไกลเห็นหน้าค่าตา แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ราวกับอยู่ห้องเดียวกันคือ ความเร็วอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ทำให้การรับส่งข้อมูลภาพและเสียงข้ามทวีปข้ามขอบฟ้าทำได้ไร้ขีดจำกัด
ปัจจุบันเทคโนโลยีประชุมทางไกลพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นทำให้มีความใกล้ชิดเสมือนจริงราวกับว่านั่งอยู่ในห้องเดียวกัน หรือเรียกว่า เทเลพรีเซนต์ (Telepresence) จากเดิมที่มองเห็นหน้ากันตัวต่อตัว แต่เทคโนโลยีเทเลพรีเซนต์เห็นหน้าผู้เข้าร่วมประชุมกันทั้งทีม ผ่านจอแอลซีดีขนาดใหญ่ให้ความสมจริงในด้านขนาดตัว นี่ถ้าเป็นทีวีสามมิติสวมแว่นพิเศษดูคงนึกว่าอยู่ห้องเดียวกันแน่นอน
นายศิริวัฒน์ วงส์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) ผู้นำการติดตั้งโซลูชั่นด้านไอซีทีให้องค์กรธุรกิจ เล่าเบื้องหลังของเทเลพรีเซนต์ว่า เป็นระบบที่พัฒนาโดยบริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ จำกัด ซึ่งนำเทคโนโลยีมัลติมีเดียทั้งด้านภาพและเสียงเสมือนจริงด้วยภาพความละเอียดสูง หรือ HD มาประยุกต์ให้ใช้งานง่าย สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบประชุมทางไกลแบบเดิมได้เลย
แม้ค่าใช้จ่ายสำหรับประชุมในรูปแบบเทเลพรีเซนต์สูงถึง 2 หมื่นบาทต่อครั้งสำหรับห้องประชุมในบางประเทศ แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการเดินทางแล้วถือว่าคุ้มค่า
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ บริษัท พีทีที ไอซีที โซลูชั่นส์ จำกัด (PTT ICT) บริษัท ภายใต้กลุ่มปตท. ตัดสินใจนำเข้าระบบ เทเลพรีเซนต์ มาติดตั้งที่ประเทศไทยเป็นหน่วยงานแรก โดยหวังที่จะใช้เสริมศักยภาพของธุรกิจ
สำหรับประเทศไทย ระบบเทเลพรีเซนต์ถูกติดตั้งและทดลองใช้งานจริงเป็นครั้งแรกที่อาคารบี ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ปตท. สำนักงานใหญ่วิภาวดี เชื่อมต่อกับบริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอนวิรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของปตท. ตั้งอยู่ที่มาบตาพุด จ.ระยอง ระยะทางห่างกัน 180 กิโลเมตร ปตท. มองว่าระบบช่วยลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการเดินทางได้ ทั้งการประชุมในประเทศ ซึ่งปตท. มีบริษัทในกลุ่มมากถึง 45 บริษัท และยังมีสาขาอยู่ในต่างประเทศเช่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย
ค่าใช้จ่ายการให้บริการยังขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการใช้งาน เพราะนอกจากเงินลงทุนในการติดตั้งฮาร์ดแวร์แล้ว ในส่วนภาคการสื่อสารอาจจะต้องขยายมากขึ้น จากเดิมที่ใช้วิธีการส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์ออพติก ของ ปตท. เอง อาจจะต้องร่วมมือกับ โกลบอล พาร์ทเนอร์ อย่าง ทาทา คอมมิวนิเคชั่นส์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต อินเตอร์เนชั่นแนล ลิงก์ ซึ่งคาดว่าจะให้บริการได้ในปี 2554
“ในระยะยาว ปตท. เตรียมเปิดให้บริการกับบริษัทภายนอกที่สนใจ โดยสามารถเชื่อมต่อเข้ากับห้องประชุมที่ใช้ระบบเดียวกัน ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด” นายสุทัต วงษ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการสายงานโซลูชั่นแอนด์คอนซัลติ้ง เดลิเวอรี บริษัทพีทีที ไอซีที โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าว
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Mozilla Seabird มือถือแห่งอณาคต
เมื่อเจ้าพ่อบราวเซอร์อย่าง Mozilla Firefox หันมาเอาดีทางด้าน Smart Phone ซึ่งทาง Mozilla Labs ได้นำเสนอคอนเซปต์สมาร์ทโฟนชื่อว่า Seabird มาดูกันครับว่าเจ้า Mozilla Seabird จะมีดีอะไรบ้าง
สำหรับคอนเซปต์ Seabird สมาร์ทโฟนที่ทาง Mozilla Labs ได้ดีไซน์ตัวเครื่องนั้นมีคุณสมบัติ และความสามารถในการทำงานด้านต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่ากันตั้งแต่สเป็กพื้นฐานอย่างหน้าจอสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ กล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล ตามด้วย โปรเจ็กเตอร์ขนาดจิ๋ว 2 ตัว ที่มีความสว่าง 45 ลูเมนส์ และความละเอียด 960x600 พิกเซล Seabird นั้นใช้เทคโนโลยีในการชาร์จแบบไร้สาย ( Wireless Charger ) พอร์ต mini-USB โดยทีด้านหลังจะมีหูฟังไร้สายที่สามารถถอดออกจากตัวเครื่องได้
มาดูกันต่อเลยว่าเจ้า Mozilla Seabird ทำอะไรได้บ้าง? ประการแรกเลยก็คือ มันใช้งานแบบมือถือทั่วไปได้ ส่วน หูฟังบลูทูธจะทำงานได้ 2 อย่างคือ ใช้เป็นหูฟัง หรือใช้แทนเมาส์ไร้สาย 3 มิติ โดยสามารถใช้นิ้วสัมผัสด้านหลังแทนการคลิกเมาส์ได้อีกด้วย ส่วนโปรเจ็กเตอร์ที่มี 2 ตัว เพราะเมื่อคุณนำ Seabird วางบนแท่นโดยหันด้านข้าง Projector ด้านหนึ่งจะฉายภาพหน้าจอ และอีกด้านหนึ่งฉายลงบนพื้นเป็นคีย์บอร์ดแสงพร้อมทัชแพด สำหรับการท่องอินเตอร์เน็ต ดูหนัง และการใช้งาน บนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น เห็นแบบนี้อยากใช้กันแล้วใช่มั่ยครับ งั้นเอาวีดีโอไปดูเรียกน้ำย่อยกันก่อน
ที่มา :http://www.itday.in.th/mozilla-seabird-mobile-phone/trackback/
Firefox 4 beta 7 ออกมาแล้ว เร็วโพดๆ
[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Mozilla ได้เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ดาวน์โหลด Firefox 4 รุ่นทดสอบที่ 7 เวอร์ชันบน Windows, Mac และ Linux กันไปแล้ว ซึ่งผลปรากฎว่า เว็บไซต์ต่างๆ พูดถึงประสิทธิภาพความเร็วของมันว่าน่าทึ่งมากๆ โดยเฉพาะการใช้คุณสมบัติเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์กราฟิกบน Windows และ Mac รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง การซิงค์รวม และ Tab Candy
เรียกได้ว่า Firefox 4 Beta 7 ที่เป็นเวอร์ชันใกล้สมบูรณ์มากๆ แล้ว สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ทดลองใช้ได้ โดย Mozilla กล่าวว่า คอมไพเลอร์ JavaScript ที่ชื่อ JaegerMonkey ของทางบริษัทเมื่อทำงานร่วมกับการพัฒนาการในส่วนอื่นๆ ทำให้ Firefox 4 มีกลไกการเรนเดอร์หน้าเว็บ การแปลคำสั่งเว็บแอพฯ ต่างๆ ตลอดจนเกมส์ได้อย่างรวดเร็วน่าประทับใจอย่างมาก ผลการทดสอบเปรียบเทียบข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า Firefox 4 Beta 7 แรงกว่าเดิมเกือบ 5 เท่าเลยทีเดียว
ข้อมูลจาก: Product-Reviews
<a href="http://www.arip.co.th/news.php?id=412632" target="_blank"><img src="http://www.arip.co.th/2009/images/logo_arip_s.png" align="middle" border=0></a> <a href="http://www.arip.co.th/news.php?id=412632" target="_blank">ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์</a>
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คอมพิวเตอร์ในอนาคต
คอมพิวเตอร์ในอนาคต
โดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ
นาโนอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกอิเล็กทรอนิกส์และดิจิตอลคอมพิวเตอร์ ศาสตร์ของอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มนุษย์เรา สรรสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมามากมาย และดูเหมือนไม่ว่าเราจะมองไป ณ ที่แห่งใดก็ตามที่อารยะธรรมของมนุษย์แผ่ไปถึง เราก็จะพบสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ที่มีส่วนของอิเล็กทรอนิกส์เป็นองค์ประกอบอยู่แทบทั้งสิ้น จนอาจกล่าวได้ว่าอิเล็กทรอนิกส์เป็นพื้นฐานของอารยะธรรมสมัยใหม่ บทความนาโนเทคโนโลยีในตอนนี้ จึงมุ่งไปที่บทบาทของนาโนเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้าไปปรับเปลี่ยนทิศทาง และพัฒนาศาสตร์ของอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงจุดอับ ให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ การกล่าวเช่นนี้ อาจทำให้หลายๆ ท่านรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก วิศวกรคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ ความจริงที่ว่าเราอาจจะไม่สามารถรักษาสถิติเดิมๆ ที่เราสามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความเร็วสูงขึ้นในอัตราที่สูง ดังที่ กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวไว้ว่า "จำนวนของทรานซิสเตอร์ซึ่งบรรจุอยู่บนแผ่นวงจรรวม หรือ ไมโครชิพ นี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน" คำกล่าวอันสร้างชื่อแก่เขาในฐานะกฎของมัวร์ (Moore's Law) ซึ่งได้รับการยอมรับ และเป็นแรงกดดันให้วงการผลิตชิพสามารถพัฒนาชิพ ให้มีความเร็วสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ซื้อมาใหม่มีอันต้องล้าสมัยไปทุกๆ ปีครึ่งเช่นเดียวกัน แต่กฎของมัวร์นี้กำลังจะถูกสั่นคลอน การเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ลงไปบนชิพด้วยการย่อขนาดของวงจรกำลังจะมาถึงขีดจำกัด เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์นี้อย่างแจ่มชัด เราน่าจะมาทำความเข้าใจกับพัฒนาการของวงการอิเล็กทรอนิกส์กันก่อน
ประวัติของวงการอิเล็กทรอนิกส์
ประวัติศาสตร์หน้าแรกของวงการอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะเริ่มมาจากการประดิษฐ์หลอดรังสีคาโธด (Cathode Rays Tube) ของเซอร์ วิลเลียม ครุกส์ (Sir William Crookes) ในปี ค.ศ. 1875 อันนำไปสู่การค้นพบรังสีเอ็กซ์โดย เรินท์เกน (Wilhelm Conrad Roentgen) ในปี ค.ศ. 1895 และการค้นพบอิเล็กตรอนโดย ทอมสัน (Joseph Thomson) ในปี ค.ศ. 1897 จากนั้นในปี ค.ศ. 1904 เฟลมิง (John Ambrose Fleming) ได้ประดิษฐ์หลอดไดโอดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ฟอเรสต์ (Lee De Forest) ก็สามารถประดิษฐ์หลอดไตรโอดซึ่งสามารถควบคุมกระแสการไหลของอิเล็กตรอนได้ ถัดมาอีก 13 ปี คือในปี ค.ศ. 1919 ชอตต์กี (Walter Schottky) คิดค้นหลอดสุญญากาศแบบหลายขั้ว นอกจากนั้นเขายังได้พัฒนาทฤษฎีที่ใช้อธิบายการไหลของอิเล็กตรอนและหลุมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ประวัติศาสตร์หน้าแรกของวงการอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะเริ่มมาจากการประดิษฐ์หลอดรังสีคาโธด (Cathode Rays Tube) ของเซอร์ วิลเลียม ครุกส์ (Sir William Crookes) ในปี ค.ศ. 1875 อันนำไปสู่การค้นพบรังสีเอ็กซ์โดย เรินท์เกน (Wilhelm Conrad Roentgen) ในปี ค.ศ. 1895 และการค้นพบอิเล็กตรอนโดย ทอมสัน (Joseph Thomson) ในปี ค.ศ. 1897 จากนั้นในปี ค.ศ. 1904 เฟลมิง (John Ambrose Fleming) ได้ประดิษฐ์หลอดไดโอดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ฟอเรสต์ (Lee De Forest) ก็สามารถประดิษฐ์หลอดไตรโอดซึ่งสามารถควบคุมกระแสการไหลของอิเล็กตรอนได้ ถัดมาอีก 13 ปี คือในปี ค.ศ. 1919 ชอตต์กี (Walter Schottky) คิดค้นหลอดสุญญากาศแบบหลายขั้ว นอกจากนั้นเขายังได้พัฒนาทฤษฎีที่ใช้อธิบายการไหลของอิเล็กตรอนและหลุมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
พัฒนาการที่สำคัญของวงการอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1940 หลังจากที่หลอดสุญญากาศแสดงบทบาท ในฐานะอุปกรณ์ควบคุมในเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายมาร่วม 3 ทศวรรษ โดยโอลห์ (Russell Shoemake Ohl) ค้นพบว่าผลึกซิลิกอนสามารถจะนำมาสร้างเป็นอุปกรณ์ไดโอดได้ ซึ่งนำไปสู่การคิดค้นทรานซิสเตอร์ของ ชอคลี (William Bradford Schockley) แบรตเทน (Walter H. Brattain) และ บาร์ดีน (John Bardeen) ในปี ค.ศ. 1948 หลังจากนั้นอุปกรณ์พวกสารกึ่งตัวนำได้เริ่มเข้ามาแทนที่หลอดสุญญากาศ ทำให้เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มีขนาดเล็กลงและราคาถูกลงมาก อย่างไรก็ตามก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของอุตสาหกรรมเท่าไรนัก เนื่องจากว่าการสร้างเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ยังคงต้องนำอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำจำนวนมากมาต่อเชื่อมกันให้เป็นวงจรรวม ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างยุ่งยาก จึงเกิดแนวความคิดที่จะทำให้อุปกรณ์หล่านั้น รวมทั้งวงจร ถูกยุบรวมเข้าไปบนสารกึ่งตัวนำที่เป็นชิ้นเดียว และแล้วในปี ค.ศ. 1959 เออร์นี (Jean Hoerni) และ นอยซ์ (Robert Noyce) ก็สามารถพัฒนาแผงวงจรรวมดังกล่าว (Integrated Circuit หรือ IC) ได้สำเร็จ และเพียงปีเดียวเท่านั้นแผงวงจรรวมดังกล่าวก็เข้าไปแทนที่อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำแบบแยกส่วนถึง 90% เลยที่เดียว ในช่วงต้นๆ ของทศวรรษ 1960 นั้น วงจรรวมยังไม่มีความซับซ้อนมาก โดยอาจมีทรานซิสเตอร์ประมาณ 20-200 ตัวต่อแผ่นชิพหนึ่งแผ่น และเพิ่มขึ้นมาเป็น 200-5000 ตัวในช่วงปี 1970 ปัจจุบันนี้เรามีแผงวงจรรวมที่มีทรานซิสเตอร์นับล้านตัวเลยทีเดียว
รูปที่ 1 ความซับซ้อนของวงจรรวม (ภาพจาก IBM) |
การผลิตไอซี - บทบาทของไมโครเทคโนโลยี
ถึงแม้ปัจจุบันการผลิตชิพไอซีจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากจนกระทั่งคนในวงการอุตสาหกรรมเรียกมันว่าไฮเทคโนโลยีก็ตาม ขั้นตอนและกระบวนการที่ใช้ผลิตก็ยังอาศัยแบบแผนที่คิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยของเออร์นี และ นอยซ์
ถึงแม้ปัจจุบันการผลิตชิพไอซีจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากจนกระทั่งคนในวงการอุตสาหกรรมเรียกมันว่าไฮเทคโนโลยีก็ตาม ขั้นตอนและกระบวนการที่ใช้ผลิตก็ยังอาศัยแบบแผนที่คิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยของเออร์นี และ นอยซ์
การผลิตชิพนั้นเริ่มต้นโดยการนำทรายมาแยกเอาซิลิกอนที่มีความบริสุทธิ์สูง ระดับ 99.9999999 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็คือในหนึ่งพันล้านอะตอมนั้น จะมีอะตอมของธาตุอื่นปลอมปนมาได้ไม่เกินหนึ่งอะตอมเท่านั้น โดยปล่อยให้ซิลิกอนตกผลึกเป็นแท่งกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 6 ถึง 8 นิ้ว จากนั้นนำแท่งซิลิกอนมาฝานออกเป็นแผ่นกลมบางๆ ที่มีความหนาขนาด 0.002 นิ้ว ที่เรียกว่าแผ่นเวเฟอร์ (wafer) ขั้นตอนต่อไปก็คือ ทำให้ผิวของเวเฟอร์นั้นอยู่ในรูปของออกไซด์ โดยนำไปสัมผัสกับไอน้ำร้อนๆ ออกไซด์ดังกล่าวมีประโยชน์ในการเป็นฉนวนไฟฟ้า เป็นตัวควบคุมสนามไฟฟ้า เป็นตัวป้องกันการโดพ (dope) สารในบริเวณที่ไม่ต้องการ เนื่องจากความสามารถในการป้องกันแผ่นเวเฟอร์ จากการรบกวนจากภายนอกของชั้นออกไซด์ แผ่นเวเฟอร์จึงแทบจะไม่มีประโยชน์เลยหากถูกเคลือบโดยออกไซด์ทั้งหมด
ขั้นตอนต่อไปจึงต้องทำการขจัดชั้นของออกไซด์ออกไปในบริเวณที่จะใช้งาน วิธีนี้เรียกว่าวิธีสร้างลายวงจรด้วยแสง (Photolithography) โดยนำแผ่นเวเฟอร์มาเคลือบด้วยสารเคมีที่ไวต่อแสง โดยสารเคมีดังกล่าวจะละลายในตัวทำละลายได้ดีหากโดนแสง ดังนั้นเมื่อนำลายวงจรมาเป็นฉากกั้นหน้าแผ่นเวเฟอร์ แล้วฉายแสงลงไปบนฉาก บริเวณที่แสงส่องลงไปโดนเวเฟอร์นี้ แสงจะไปเปลี่ยนคุณสมบัติของสารเคมีที่เคลือบอยู่ทำให้ละลายออกได้ง่าย ซึ่งเมื่อผ่านตัวทำละลายลงไป มันก็จะไปขจัดเอาชั้นออกไซด์ออกไปด้วย ส่วนบริเวณที่ไม่โดนแสงก็ยังคงมีชั้นออกไซด์นั้นอยู่ ดังนั้นการทำ Photolithography หลายๆ ครั้ง ก็จะสามารถสร้างลายวงจรที่มีความซับซ้อนได้
รูปที่ 2 แผ่นเวเฟอร์หนึ่งแผ่นสามารถผลิตชิพได้นับร้อย สี่เหลี่ยมสีแดงในภาพคือขนาดของวงจรรวมทั้งหมดที่จะนำไปบรรจุในชิพ (ภาพจาก Fullman Company) |
เมื่อได้แผ่นเวเฟอร์ที่มีลายวงจรมาแล้ว แผ่นเวเฟอร์จะถูกนำมาโดพด้วยสิ่งแปลกปลอมเพื่อให้ซิลิกอนมีสมบัตินำไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เสมือนกับสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กๆ ภายในแผ่นเวเฟอร์ จากนั้นจะเคลือบแผ่นเวเฟอร์ในบางบริเวณด้วยฟิล์มบาง เสมือนกับการต่อสายไฟให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบนแผ่นเวเฟอร์เชื่อมโยงกัน จากนั้นนำแผ่นเวเฟอร์ไปตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ที่มีวงจรรวมอยู่และประกอบเป็นชิพ แผ่นเวเฟอร์หนึ่งแผ่นจะสามารถสร้างชิพได้เป็นจำนวนนับร้อยเลยทีเดียว
ปัญหาของไมโครเทคโนโลยี - จุดตีบตันของวงการอิเล็กทรอนิกส์
นับตั้งแต่มีการคิดค้นแผงวงจรรวมไอซีขึ้น ก็ได้มีความพยายามที่จะเพิ่มจำนวนของทรานซิสเตอร์ในแผงวงจรรวม วิธีการหนึ่งที่ได้ผลดีคือการย่อขนาดของทรานซิสเตอร์ให้เล็กลง จากที่เคยมีขนาดของทรานซิสเตอร์ในระดับมิลลิเมตร ทุกวันนี้เรามีทรานซิสเตอร์ในขนาดเพียง 0.13 ไมโครเมตร และมีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะย่อขนาดของวงจรลงไปที่ระดับ 0.1และ 0.05 ไมโครเมตร แต่ขณะนี้กลับยังไม่มีใครทราบว่าโฉมหน้าของไมโครเทคโนโลยีระดับ 0.05 ไมครอนจะมีลักษณะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป ทำให้เป็นที่วิตกกังวลแก่สมาคมผู้ประกอบการสารกึ่งตัวนำในอเมริกาเป็นอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนถึงกับปรามาสว่า อุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์อาจจะไม่สามารถทำงานได้ในระดับต่ำกว่า 0.05 ไมครอน หรือไม่การประกอบชิพที่ระดับดังกล่าว อาจมีราคาแพงเสียจนพัฒนาการของวงการชิพอาจจะต้องล่าช้าไปอีก .... จนกระทั่งมีคนเรียกจุดอับนี้ว่า กำแพง 0.05 ไมครอน (0.05 micron barrier)
นับตั้งแต่มีการคิดค้นแผงวงจรรวมไอซีขึ้น ก็ได้มีความพยายามที่จะเพิ่มจำนวนของทรานซิสเตอร์ในแผงวงจรรวม วิธีการหนึ่งที่ได้ผลดีคือการย่อขนาดของทรานซิสเตอร์ให้เล็กลง จากที่เคยมีขนาดของทรานซิสเตอร์ในระดับมิลลิเมตร ทุกวันนี้เรามีทรานซิสเตอร์ในขนาดเพียง 0.13 ไมโครเมตร และมีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะย่อขนาดของวงจรลงไปที่ระดับ 0.1และ 0.05 ไมโครเมตร แต่ขณะนี้กลับยังไม่มีใครทราบว่าโฉมหน้าของไมโครเทคโนโลยีระดับ 0.05 ไมครอนจะมีลักษณะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป ทำให้เป็นที่วิตกกังวลแก่สมาคมผู้ประกอบการสารกึ่งตัวนำในอเมริกาเป็นอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนถึงกับปรามาสว่า อุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์อาจจะไม่สามารถทำงานได้ในระดับต่ำกว่า 0.05 ไมครอน หรือไม่การประกอบชิพที่ระดับดังกล่าว อาจมีราคาแพงเสียจนพัฒนาการของวงการชิพอาจจะต้องล่าช้าไปอีก .... จนกระทั่งมีคนเรียกจุดอับนี้ว่า กำแพง 0.05 ไมครอน (0.05 micron barrier)
อะไรที่เป็นสาเหตุของจุดอับนี้ ? ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าชิพคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันทำงานกันอย่างไร เริ่มจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของเรา ส่วนที่เป็นสมองของมันคือ หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ซึ่งมันก็ประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และสวิตช์ และเกต (gate) ต่างๆ ที่ทำหน้าที่ทางตรรกะ เช่น AND OR และ NOT ซึ่งเกตทางตรรกะเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นจากทรานซิสเตอร์หลาย ๆ ตัว ดังนั้นแทบจะกล่าวได้ว่าทรานซิสเตอร์ก็คือองค์ประกอบพื้นฐาน (building block) ของชิพคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว ทรานซิสเตอร์สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งในฐานะสวิตช์ สามารถกำหนดสถานะทางตรรกะของวงจรเป็น เปิด และ ปิด ได้ และยังสามารถทำหน้าที่เป็นตัวขยายสัญญาณอีกด้วย พื้นฐานการทำงานของทรานซิสเตอร์จะใช้สนามไฟฟ้าในการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า (Field Effect Transistor)
รูปที่ 3 ภาพแสดงการทำงานของ Field Effect Transistor มีเกตสำหรับควบคุมกระแส เมื่อไม่มีสนามไฟฟ้าที่เกต กระแสจะไม่สามารถไหลได้ (b) แต่เมื่อเกตมีศักย์ไฟฟ้าเป็นบวกประจุบวกจะถูกผลักออกไป ทำให้อิเล็กตรอนสามารถไหลได้ง่ายขึ้น (c) (ภาพจาก MITRE Corporation) |
หากเราดูจากภาพที่ 3 ทรานซิสเตอร์นั้นประกอบด้วยเกตที่ควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (source to drain) ปัญหาแรกที่จะพบเมื่อทรานซิสเตอร์มีขนาดเหลือ 0.1 ไมครอน นั้นจะทำให้ source และ drain เขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้น จนสนามศักย์ของเกตจะควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนได้ยากขึ้น เพราะอิเล็กตรอนจะไหลได้เองง่ายขึ้น จนอาจจะไม่ต้องพึ่งสนามศักย์จากเกต ปัญหาที่สองก็คือว่า ปรกติทรานซิสเตอร์จะต้องมีสนามไฟฟ้าช่วยควบคุมการไหลของกระแส โดยขนาดของสนามไฟฟ้านี้จะต้องมีขนาดมากพอ ที่จะไม่ถูกบดบังจากสัญญาณรบกวน ในเมื่อทรานซิสเตอร์มีขนาดที่ลดลงมาก ทำให้สนามไฟฟ้ากระทำกับระยะทางที่ลดลง เป็นผลทำให้ความเข้มข้นของสนามไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งอาจทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกไปมากจนควบคุมไม่ได้ , ปัญหาอีกประการหนึ่งนั้นเกี่ยวกับความสามารถของอิเล็กตรอนในการหายตัวข้ามกำแพงที่กั้น (Tunnelling) โดยที่อิเล็กตรอนสามารถที่จะลอดจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของกำแพงศักย์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกระโดดข้ามกำแพงหากกำแพงมีความหนาที่ไม่มากนัก , เมื่อจำนวนของทรานซิสเตอร์มีมากขึ้นในพื้นที่ๆลดลง ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวก็จะมาอยู่ใกล้กันมากขึ้น โอกาสที่อิเล็กตรอนในทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งๆจะลอดไปรบกวนการทำงานของทรานซิสเตอร์ตัวอื่นๆก็จะมีมากขึ้น หรืออิเล็กตรอนอาจจะลอดผ่านแผ่นฉนวนออกไซด์ที่กั้นระหว่างช่องเดินทางของอิเล็กตรอน (channel) กับเกตได้
จากอิเล็กทรอนิกส์แบบซิลิกอนสู่อิเล็กทรอนิกส์โมเลกุล - นาโนอิเล็กทรอนิกส์
จากปัญหาดังกล่าวจึงเกิดแนวคิด ที่ต้องการจะปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบบเดิมคือสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์บน Solid State Semiconductor ไปสู่การสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโมเลกุล (Molecular Electronics) อิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่นี้ จะต้องมีการทำงานในระดับโมเลกุลเลยทีเดียวและอุปกรณ์แต่ละตัวจะเป็นแบบอิเล็กตรอนเดียว (Single Electron Devices) การปฏิวัติดังกล่าวนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีนี้เพื่อให้มีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นทดแทนก่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะไปถึงจุดอับ จริงๆแล้วการที่จะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวเลยทีเดียว เพราะว่ายังไม่มีใครรู้ว่ารูปแบบที่อิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลสุดท้ายนั้น จะมีหน้าตาอย่างไร เหตุนี้ปัจจุบันจึงมีผู้เสนอแนวทางแบบต่างๆมากมาย
จากปัญหาดังกล่าวจึงเกิดแนวคิด ที่ต้องการจะปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบบเดิมคือสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์บน Solid State Semiconductor ไปสู่การสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโมเลกุล (Molecular Electronics) อิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่นี้ จะต้องมีการทำงานในระดับโมเลกุลเลยทีเดียวและอุปกรณ์แต่ละตัวจะเป็นแบบอิเล็กตรอนเดียว (Single Electron Devices) การปฏิวัติดังกล่าวนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีนี้เพื่อให้มีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นทดแทนก่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะไปถึงจุดอับ จริงๆแล้วการที่จะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวเลยทีเดียว เพราะว่ายังไม่มีใครรู้ว่ารูปแบบที่อิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลสุดท้ายนั้น จะมีหน้าตาอย่างไร เหตุนี้ปัจจุบันจึงมีผู้เสนอแนวทางแบบต่างๆมากมาย
รูปที่ 4 หากต้องการให้การเพิ่มของจำนวนทรานซิสเตอร์เป็นไปตามกฎของมัวร์ การผลิตชิพจะต้องเข้าสู่ยุคของนาโนเทคโนโลยี (ภาพจาก MITRE Corporation) คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ |
ด้วยการเล็งเห็นความสำคัญของอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลในอนาคต จึงได้มีการรวมตัวของนักวิจัยที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และจัดตั้งเป็นกลุ่มวิจัยนาโนเทคโนโลยีและโมเลกุลาร์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นด้วยทัศนคติที่ว่า"หากเราจะทำอิเล็กทรอนิกส์แบบเก่าๆ เราแข่งกับเค้าไม่ได้แน่เพราะเค้าเริ่มกันมา 30 กว่าปีแล้ว แต่ถ้าหากเราทำอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลนั้น ทุกคนเริ่มหัดเดินเหมือนกันหมด เรายังมีโอกาสทำอะไรได้บ้าง" โดยทางกลุ่มประกอบด้วยนักฟิสิกส์สารกึ่งตัวนำ นักโพลิเมอร์ผู้มีความสามารถด้านการสังเคราะห์วัสดุอิเล็กทรอนิกส์ นักวิทยาศาสตร์เชิงคำนวณที่สามารถออกแบบและโมเดลวัสดุด้วยคอมพิวเตอร์ และนักทฤษฎีที่เชี่ยวชาญทางด้านผลของควอนตัม งานวิจัยตามหัวข้อนี้เป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาวมากกว่า 10 ปี ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะทำไปจนตลอดชีวิตนักวิจัยเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากงานทางอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลนั้นจะไปสอดคล้องกับการพัฒนานาโนเทคโนโลยีโดยตรง และเรื่องนาโนเทคโนโลยีนี้ก็เป็นที่คาดกันว่าจะครอบครองพื้นที่ในการทำวิจัยส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว
นาโนคอมพิวเตอร์
ในอนาคตข้างหน้านั้นอุปกรณ์หรือจักรกลต่างๆจะมีขนาดเล็ก อุปกรณ์เหล่านั้นได้รับการเรียกขานต่างๆ กันเช่น หุ่นยนต์นาโน (Nanorobot) จักรกลนาโน (Nanomachine) จักรกลโมเลกุล (Molecular Machine) อุปกรณ์เหล่านั้นจะต้องมีหน่วยควบคุม หรือหน่วยประมวลผลซึ่งเป็นส่วนสมองของจักรกลนาโน จึงมีความคิดว่าน่าจะมีการพัฒนานาโนคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ หรือจักรกลเหล่านั้น นาโนคอมพิวเตอร์นี้ต่างจากคอมพิวเตอร์ธรรมดาอย่างที่เราเข้าใจกัน เช่นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่ทำงานโดยการปฏิสัมพันธ์กับประสาทสัมผัสของมนุษย์โดยตรง เช่นมีส่วนรับข้อมูลเข้าเป็นคีย์บอร์ด มีส่วนแสดงผลเป็นมอนิเตอร์ แต่นาโนคอมพิวเตอร์จะมีการรับข้อมูลเข้าทางเซนเซอร์ มีการแสดงผลออกเป็นสัญญาณหรือการทำงานกับจักรกลนาโน ทั้งนี้นาโนคอมพิวเตอร์จะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับอุปกรณ์ที่ทำงานมากกว่ากับมนุษย์ การพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนานาโนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งยังมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคอมพิวเตอร์รูปแบบเดิมเช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะด้วย
ในอนาคตข้างหน้านั้นอุปกรณ์หรือจักรกลต่างๆจะมีขนาดเล็ก อุปกรณ์เหล่านั้นได้รับการเรียกขานต่างๆ กันเช่น หุ่นยนต์นาโน (Nanorobot) จักรกลนาโน (Nanomachine) จักรกลโมเลกุล (Molecular Machine) อุปกรณ์เหล่านั้นจะต้องมีหน่วยควบคุม หรือหน่วยประมวลผลซึ่งเป็นส่วนสมองของจักรกลนาโน จึงมีความคิดว่าน่าจะมีการพัฒนานาโนคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ หรือจักรกลเหล่านั้น นาโนคอมพิวเตอร์นี้ต่างจากคอมพิวเตอร์ธรรมดาอย่างที่เราเข้าใจกัน เช่นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่ทำงานโดยการปฏิสัมพันธ์กับประสาทสัมผัสของมนุษย์โดยตรง เช่นมีส่วนรับข้อมูลเข้าเป็นคีย์บอร์ด มีส่วนแสดงผลเป็นมอนิเตอร์ แต่นาโนคอมพิวเตอร์จะมีการรับข้อมูลเข้าทางเซนเซอร์ มีการแสดงผลออกเป็นสัญญาณหรือการทำงานกับจักรกลนาโน ทั้งนี้นาโนคอมพิวเตอร์จะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับอุปกรณ์ที่ทำงานมากกว่ากับมนุษย์ การพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนานาโนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งยังมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคอมพิวเตอร์รูปแบบเดิมเช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะด้วย
ด้วยความรู้ ณ ปัจจุบัน เรามองทิศทางการพัฒนานาโนคอมพิวเตอร์ออกเป็น 4 สายคือ
- Electronic Nanocomputer
นาโนคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์มีพื้นฐานการทำงานคล้ายกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันคือทำงานจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน แต่นาโนคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์จะไม่อาศัยการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจำนวนมหึมาอย่างที่เป็นอยู่ในคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน แต่จะใช้อิเล็กตรอนตัวเดียวหรือมากกว่านั้น , ซึ่งจะทำงานโดยอาศัยประโยชน์จากผลของควอนตัม (Quantum Effect) ซึ่งเป็นอุปสรรคของคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันแต่กลับเป็นกลไกให้นาโนคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ทำงาน วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของนาโนคอมพิวเตอร์แบบนี้จึงต้องมีขนาดเล็กในระดับโมเลกุลเกิดเป็นคำใหม่ขึ้นมาว่า อิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุล - Biochemical or Chemical Nanocomputer
นาโนคอมพิวเตอร์เชิงเคมีทำงานโดยการสร้างหรือทำลายพันธะทางเคมี มันสามารถเก็บและดำเนินการทางตรรกะและสารสนเทศโดยอาศัยหลักของโครงสร้างทางเคมี เช่น อันตรกริยาระหว่างส่วนต่างๆในโมเลกุล การปรับเปลี่ยนคอนฟอร์เมชัน เป็นต้น ประจักษ์พยานที่แสดงถึงความเป็นไปได้ของนาโนคอมพิวเตอร์เชิงชีวเคมีมีให้เห็นอยู่แล้วในธรรมชาติ นั่นคือการดำเนินการทางชีวสารสนเทศในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง - Mechanical Nanocomputer
คอมพิวเตอร์เชิงกลนั้นมีมาก่อนคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เสียอีก หลักการทำงานของนาโนคอมพิวเตอร์เชิงกลก็อิงวิธีการของคอมพิวเตอร์เชิงกลที่คิดค้นโดยชาลส์ บาบเบจ (Charles Babbage) ผสมผสานกับคำชี้แนะของริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman) คือมีการทำงานทางตรรกะและดำเนินการทางสารสนเทศโดยอาศัยกลไกของเกียร์ แบริ่ง และเพลา เพียงแต่ย่อส่วนลงไปสู่ระดับโมเลกุลนั่นเอง - Quantum Nanocomputer
ควอนตัมนาโนคอมพิวเตอร์อาศัยการทำงานตามสถานะควอนตัม (Quantum State) ของหน่วยพื้นฐานซึ่งสามารถทำให้เล็กสุดถึงระดับของอะตอมจึงสามารถสร้างให้ให้มีความหนาแน่นของวงจรสูงมาก การทำงานเชิงตรรกะของหน่วยพื้นฐานควบคุมจากสภาวะรอบข้างเช่น สนามแม่เหล็ก ความเป็นไปได้ของนาโนคอมพิวเตอร์แบบนี้ถูกกระตุ้นโดยริชาร์ด ฟายน์แมน ทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มวิจัยที่ทำงานเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับนาโนคอมพิวเตอร์ทั้ง 4 ประเภทข้างต้นนี้ นักวิจัยส่วนใหญ่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ Electronic Nanocomputer เพราะเหตุที่ว่าความเป็นไปได้ของนาโนคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มีสูงที่สุด ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำวิจัยหัวข้อนี้ได้มากกว่า
เรคติไฟเออร์โมเลกุล
กล่าวสำหรับ Electronic Nanocomputer นั้นหากจะพัฒนาขึ้นมาแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาสถาปัตยกรรมของมันว่า ควรจะมีลักษณะหน้าตาอย่างไร และหน่วยพื้นฐานจะมาเชื่อมโยงกันเพื่อทำงานเชิงตรรกะได้อย่างไร หน่วยพื้นฐานหนึ่งซึ่งเรียกว่าไดโอด (Diode) โดยหากเป็นไดโอดที่มีสมบัติของการกรองกระแสคืออนุญาตให้กระแสไหลผ่านได้ทางเดียวก็จะเรียกว่าเรคติไฟเออร์ (Rectifier) เรคติไฟเออร์ระดับโมเลกุลนี้ได้รับแนวคิดมาจาก Aviram และ Ratner โดยเขาทั้งสองเสนอไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ว่าโมเลกุลก็อาจจะสามารถทำหน้าที่เป็นเรคติไฟเออร์ได้ถ้าหากสามารถหาโมเลกุลที่ข้างหนึ่ง มีความสามารถในการให้อิเล็กตรอนในขณะที่ข้างหนึ่งมีความสามารถในการรับอิเล็กตรอน ซึ่งหลักการทำงานดังกล่าวนั้นก็เลียนแบบมาจากอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบมีขั้ว p-n ทั่วๆไป หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีนักวิจัยเป็นจำนวนมาก , พยายามที่จะค้นหาโมเลกุลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว และเมื่อเร็วๆนี้ ก็ได้มีผู้ค้นพบโมเลกุลที่มีสมบัติเป็นเรคติไฟเออร์นี้ (Molecular Rectifiers) ทำให้นักวิจัยทั้งหลายมีความหวังและกำลังใจมากขึ้นว่า การสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโมเลกุลจะไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีการค้นพบเรคติไฟเออร์โมเลกุลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะต่อเรคติไฟเออร์ดังกล่าวเพื่อสร้างเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานอย่างสมบูรณ์ได้ งานค้นหาเรคติไฟเออร์ที่ดีกว่าก็ยังดำเนินต่อไป พร้อมๆกับการพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมให้เรคติไฟเออร์มีความเสถียรมากขึ้น
กล่าวสำหรับ Electronic Nanocomputer นั้นหากจะพัฒนาขึ้นมาแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาสถาปัตยกรรมของมันว่า ควรจะมีลักษณะหน้าตาอย่างไร และหน่วยพื้นฐานจะมาเชื่อมโยงกันเพื่อทำงานเชิงตรรกะได้อย่างไร หน่วยพื้นฐานหนึ่งซึ่งเรียกว่าไดโอด (Diode) โดยหากเป็นไดโอดที่มีสมบัติของการกรองกระแสคืออนุญาตให้กระแสไหลผ่านได้ทางเดียวก็จะเรียกว่าเรคติไฟเออร์ (Rectifier) เรคติไฟเออร์ระดับโมเลกุลนี้ได้รับแนวคิดมาจาก Aviram และ Ratner โดยเขาทั้งสองเสนอไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ว่าโมเลกุลก็อาจจะสามารถทำหน้าที่เป็นเรคติไฟเออร์ได้ถ้าหากสามารถหาโมเลกุลที่ข้างหนึ่ง มีความสามารถในการให้อิเล็กตรอนในขณะที่ข้างหนึ่งมีความสามารถในการรับอิเล็กตรอน ซึ่งหลักการทำงานดังกล่าวนั้นก็เลียนแบบมาจากอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบมีขั้ว p-n ทั่วๆไป หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีนักวิจัยเป็นจำนวนมาก , พยายามที่จะค้นหาโมเลกุลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว และเมื่อเร็วๆนี้ ก็ได้มีผู้ค้นพบโมเลกุลที่มีสมบัติเป็นเรคติไฟเออร์นี้ (Molecular Rectifiers) ทำให้นักวิจัยทั้งหลายมีความหวังและกำลังใจมากขึ้นว่า การสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโมเลกุลจะไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีการค้นพบเรคติไฟเออร์โมเลกุลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะต่อเรคติไฟเออร์ดังกล่าวเพื่อสร้างเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานอย่างสมบูรณ์ได้ งานค้นหาเรคติไฟเออร์ที่ดีกว่าก็ยังดำเนินต่อไป พร้อมๆกับการพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมให้เรคติไฟเออร์มีความเสถียรมากขึ้น
ก่อนที่เรคติไฟเออร์โมเลกุลหรือหน่วยพื้นฐานอื่นๆ เช่น ทรานซิสเตอร์โมเลกุลจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำมาต่อเป็นวงจร โครงสร้างพื้นฐานอีกอย่างที่จะต้องพัฒนาขึ้นมาให้พร้อมก่อนก็คือ สถาปัตยกรรมและตรรกะของวงจร ได้มีองค์กรระดับนโยบายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า MITRE Corporation ได้สนับสนุนกลุ่มนักวิจัยกลุ่มหนึ่งให้ศึกษาความเป็นไปได้ของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระดับโมเลกุลดังกล่าว และก็ได้ทำการตีพิมพ์ต้นแบบของสถาปัตยกรรมของวงจรอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุลออกมาเมื่อเร็วๆนี้ ผู้วิจัยในกลุ่มดังกล่าวได้ใช้ระเบียบวิธีการคำนวณทางกลศาสตร์ควอนตัมเพื่อหาโครงสร้างเชิงอิเล็กตรอนของเรคติไฟเออร์โมเลกุล กลุ่มผู้วิจัยได้ศึกษารายงานวิจัยดังกล่าวพบว่ายังมีหลายๆจุดในงานวิจัยดังกล่าวที่ยังบกพร่องและสามารถจะปรับปรุงให้มีคุณภาพสูงขึ้น เช่นคุณภาพของโมเดลที่ใช้ยังต่ำเกินไปและการแปลความหมายของตัวเลขที่ได้จากการคำนวณไปเป็นความหมายทางกายภาพยังไม่ค่อยถูกต้องนัก หากถามว่าทำไมนักวิจัยกลุ่มดังกล่าวซึ่งอยู่ในหน่วยงานระดับโลกจึงยอมปล่อยให้รายงานที่ดูเหมือนยังมีข้อบกพร่องออกมาสู่สาธารณะ คำตอบชัดๆอาจแจงได้เป็น 2 ประการ ประการแรกคือ งานดังกล่าวเป็นการเสนอต้นแบบของสถาปัตยกรรมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระดับโมเลกุล ที่ยังไม่เคยมีใครเสนอมาก่อน กลุ่มผู้เขียนเหล่านั้นต้องการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในการศึกษารายละเอียดปลีกย่อยต่างๆโดยนักวิจัยกลุ่มอื่นๆต่อไป ไม่ได้มุ่งที่ความถูกต้องของผลที่ได้โดยตรงซึ่งเพิ่งจะอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ประการต่อมาก็คือกลุ่มวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการรวมตัวของวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ยังขาดความเข้าใจในระเบียบวิธีการคำนวณกลศาสตร์ควอนตัมอย่างถ่องแท้ และนี่ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่นักวิจัยไทย โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัมจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบสถาปัตยกรรมนี้ ซึ่งในขณะนี้กลุ่มวิจัยนาโนเทคโนโลยีและโมเลกุลาร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็กำลังทำวิจัยในเรื่องดังกล่าว
รูปที่ 5 แสดงการทำงานเป็น Gate ของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระดับโมเลกุลซึ่งประกอบด้วยเรคติไฟเออร์โมเลกุล 2 ตัวและตัวต้านทาน 1 ตัว (ภาพจาก MITRE Corporation) |
ท่อนาโน
ท่อนาโน (Nanotube) คือโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนก่อรูปกันขึ้นมาเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายท่อ ท่อนาโนนั้นค้นพบโดยนักฟิสิกส์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Iijima ในปีค.ศ.1991 ภายหลังการค้นพบ Fullerene โดยนักนาโนเทคโนโลยีรางวัลโนเบล Richard Smalley 6 ปี งานประยุกต์ของท่อนาโนนั้นมีมากมาย เช่น สามารถนำมาทำเป็นสายนำไฟฟ้าหรือสวิตซ์ในอุปกรณ์นาโนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ นำมาทำเป็นหัวจับ (Tip) ของเครื่อง STM เป็นต้น งานประยุกต์ในอนาคตของท่อนาโนนั้นอาจนำมาทำเป็น ส่วนที่ใช้ยึดโครงสร้างระดับนาโนเข้าด้วยกัน (คล้ายกับเสาและคานสำหรับตึก) เกียร์และมอเตอร์สำหรับเครื่องยนต์ระดับนาโน ความก้าวหน้าของศาสตร์สาขานี้จึงนับว่ามีความสำคัญต่อนาโนเทคโนโลยีโดยองค์รวมเป็นอย่างมาก ในภาคอุตสาหกรรมเองได้มีการแข่งขันกันศึกษาและวิจัยความสามารถของท่อนาโนเป็นอย่างมาก บริษัท Samsung Electronics ของเกาหลีใต้คาดว่าจะสามารถผลิตจอแบนที่ทำจากท่อนาโนได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า สำหรับงานวิจัยตามโครงการนี้นั้น ให้ความสนใจไปที่การนำท่อนาโนไปใช้ในการกักเก็บและขนส่งประจุ เนื่องจากท่อนาโนนั้นมีลักษณะเหมือนแผ่นกราไฟท์ที่ม้วนตัวจนเกิดเป็นท่อ มันจึงมีแถบการนำไฟฟ้า (Conduction Band) ซึ่งสามารถนำอิเล็กตรอนได้ดี ความที่มันมีลักษณะเป็นท่อกลวงที่มีขนาดใหญ่ มันจึงสามารถกักเก็บอะตอมหรือโมเลกุลได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะใส่ไอออนโลหะเข้าไปข้างในแล้วประยุกต์ใช้งานเป็นแบตเตอรี ได้มีผู้ทดลองใส่ลิเธียมเข้าไปในท่อนาโน พบว่าสามารถทำได้ หากแต่โครงสร้างความเป็นอยู่ของลิเธียมภายในท่อนาโนนั้นเป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้
ท่อนาโน (Nanotube) คือโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนก่อรูปกันขึ้นมาเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายท่อ ท่อนาโนนั้นค้นพบโดยนักฟิสิกส์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Iijima ในปีค.ศ.1991 ภายหลังการค้นพบ Fullerene โดยนักนาโนเทคโนโลยีรางวัลโนเบล Richard Smalley 6 ปี งานประยุกต์ของท่อนาโนนั้นมีมากมาย เช่น สามารถนำมาทำเป็นสายนำไฟฟ้าหรือสวิตซ์ในอุปกรณ์นาโนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ นำมาทำเป็นหัวจับ (Tip) ของเครื่อง STM เป็นต้น งานประยุกต์ในอนาคตของท่อนาโนนั้นอาจนำมาทำเป็น ส่วนที่ใช้ยึดโครงสร้างระดับนาโนเข้าด้วยกัน (คล้ายกับเสาและคานสำหรับตึก) เกียร์และมอเตอร์สำหรับเครื่องยนต์ระดับนาโน ความก้าวหน้าของศาสตร์สาขานี้จึงนับว่ามีความสำคัญต่อนาโนเทคโนโลยีโดยองค์รวมเป็นอย่างมาก ในภาคอุตสาหกรรมเองได้มีการแข่งขันกันศึกษาและวิจัยความสามารถของท่อนาโนเป็นอย่างมาก บริษัท Samsung Electronics ของเกาหลีใต้คาดว่าจะสามารถผลิตจอแบนที่ทำจากท่อนาโนได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า สำหรับงานวิจัยตามโครงการนี้นั้น ให้ความสนใจไปที่การนำท่อนาโนไปใช้ในการกักเก็บและขนส่งประจุ เนื่องจากท่อนาโนนั้นมีลักษณะเหมือนแผ่นกราไฟท์ที่ม้วนตัวจนเกิดเป็นท่อ มันจึงมีแถบการนำไฟฟ้า (Conduction Band) ซึ่งสามารถนำอิเล็กตรอนได้ดี ความที่มันมีลักษณะเป็นท่อกลวงที่มีขนาดใหญ่ มันจึงสามารถกักเก็บอะตอมหรือโมเลกุลได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะใส่ไอออนโลหะเข้าไปข้างในแล้วประยุกต์ใช้งานเป็นแบตเตอรี ได้มีผู้ทดลองใส่ลิเธียมเข้าไปในท่อนาโน พบว่าสามารถทำได้ หากแต่โครงสร้างความเป็นอยู่ของลิเธียมภายในท่อนาโนนั้นเป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้
ความน่าสนใจอีกประการของท่อนาโนนี้มันสามารถบรรจุอะตอมและโมเลกุลเข้าไปได้ หากเราสามารถใส่ลิเธียมเข้าไปในท่อนาโนจำนวนมากได้ ก็จะสามารถสร้างแบตเตอรีความจุสูงได้ ซึ่งแบตเตอรีความจุสูงนี้มิได้มุ่งหมายให้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในครัวเรือน เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือ กล้องถ่ายรูป แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังพุ่งเป้าไปที่การให้เป็นแหล่งให้พลังงาน (Energy Supply) สำหรับจักรกลนาโน เพราะความที่มันเป็นแบตเตอรีความจุสูง เราจึงสามารถผลิตให้มันมีขนาดที่เล็กมากๆ จนสามารถใช้เป็นแบตเตอรีสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กมากๆ ได้ งานประยุกต์ของท่อนาโนในอนาคตสามารถเป็นไปได้มากมาย บริษัทซัมซุงในเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศว่าจะสามารถผลิตจอแสดงผลแบบจอแบน (Flat Display) ที่ผลิตจากท่อนาโนได้ภายใน พ.ศ. 2545 นี้
บทสรุป
นาโนเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีในการควบคุมและผลิตสรรพสิ่งด้วยความแม่นยำระดับอะตอมนี้กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราอย่างรวดเร็ว บทบาทหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดในอนาคตก็คือการเข้ามาแก้ปัญหาที่เป็นจุดตีบตันของวงการอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในนามของ "นาโนอิเล็กทรอนิกส์" รัฐบาลของประเทศอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ล้วนสนับสนุนให้นักวิจัยสาขานี้เร่งรีบทำงานเพื่อเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ สำหรับประเทศไทยนั้น หากเราไม่ได้มุ่งหวังที่จะเก็บตกเทคโนโลยีเก่าอย่างไมโครอิเล็กทรอนิกส์แต่เพียงอย่างเดียวแล้วเราก็คงจะต้องเริ่มทำอะไรก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยของประเทศก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
นาโนเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีในการควบคุมและผลิตสรรพสิ่งด้วยความแม่นยำระดับอะตอมนี้กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราอย่างรวดเร็ว บทบาทหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดในอนาคตก็คือการเข้ามาแก้ปัญหาที่เป็นจุดตีบตันของวงการอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในนามของ "นาโนอิเล็กทรอนิกส์" รัฐบาลของประเทศอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ล้วนสนับสนุนให้นักวิจัยสาขานี้เร่งรีบทำงานเพื่อเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ สำหรับประเทศไทยนั้น หากเราไม่ได้มุ่งหวังที่จะเก็บตกเทคโนโลยีเก่าอย่างไมโครอิเล็กทรอนิกส์แต่เพียงอย่างเดียวแล้วเราก็คงจะต้องเริ่มทำอะไรก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยของประเทศก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
หมายเหตุ
บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารเทคโนโลยีวัสดุ, ตุลาคม-ธันวาคม 2544
บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารเทคโนโลยีวัสดุ, ตุลาคม-ธันวาคม 2544
ซอฟต์แวร์ในอนาคต
Neural Networks
โครงข่ายใยประสาทเทียม เป็นการใช้คอมพิวเตอร์คำนวณโดยใช้วิธีเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปนั้น ทำงานต่างจากสมองของมนุษย์ โดยขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่สร้างมาเพื่อแก้ปัญหา โดยต้องนิยามลำดับขั้นตอนของการแก้ปัญหา (algorithm) ไว้ก่อน ซึ่งการทำงานตามโปรแกรมแบบนี้จะใช้หน่วยประมวลผลกลาง ซึ่งต้องมีการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน และต้องมีส่วนของหน่วยความจำเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในตำแหน่งเฉพาะ แต่โครงข่ายใยประสาทเทียมนั้นกระจายการประมวลผลออกไปสู่โครงข่ายใยประสาท และประมวลผลแบบขนานคือทำไปพร้อม ๆ กันครั้งเดียว และเก็บสารสนเทศต่าง ๆ ไว้ในไซแนป
ที่ผ่านมานั้น การวิจัยด้านนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์ แต่ปัจจุบัน สามารถสร้างคอมพิวเตอร์เฉพาะเพื่อทำงานด้านนี้ได้ ได้แก่ Neural Network Processor ทำให้สามารถปะมวลผลข้อมูลโครงข่ายใยประสาทเทียมที่ซับซ้อนได้เร็วมาก โดยใช้ความสามารถของระบบหลายหน่วยประมวลผล (multiprocessor) ในการทำงานแบบ Multiple Instruction Multiple Data (MIMD) แต่ละหน่วยประมวลผลของ โครงข่ายใยประสาทสามารถทำงานได้เทียบเท่าหน่วยประสาทเดี่ยว 8000 หน่วย โดยมีการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยประสาทเดี่ยวภาายในหน่วยประมวลผลถึง 32,000 เส้น ความสามารถในการประมวลผลโดยการเชื่อมต่อประสาทเดี่ยวต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายออกมา อยู่ที่ 140 ล้านการเชื่อมต่อ/วินาที ฉะนั้นหน่วยประมวลผลโครงข่ายใยประสาท 8 ตัว สามารถสร้างการเชื่อมต่อได้มากกว่าพันล้านครั้ง
Letizia The Computer Avatar
โปรแกรมช่วยค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ เลทิเซีย (Letizia) เป็นโปรแกรมแบบ agent ซึ่งมีความสามารถเป็นตัวแทนในการกระทำอัตโนมัติ เป็นตัวช่วยใขณะที่ผู้ใช้ท่องไปในเว็บ โดยติดตามพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้จากโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ แล้วพยายามคาดว่าผู้ใช้มีความสนใจด้านใดเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เขาเริ่มท่องไปในโลกอินเตอร์เน็ตด้วยการเปิดหน้าแรกของเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น เรื่องปัญญาประดิษฐ์ แล้วเขาสนใจเรื่อง agent และ็เปิดหน้านั้นนานเป็นพิเศษ และเนื่งจากมีเว็บมากมายที่มีคำว่า agent ปรากฏอยู่ เขาจึงอาจใช้โปรแกรมค้นหาข้อมูล (search engine) ค้นหาหน้าที่เกี่ยวกับ agent โดยใส่คำสำคัญ (keyword) ว่า "agent" เท่านี้ โปรแกรมก็จะอ้างได้ว่าผู้ใช้คนนี้สนใจหัวข้อ agent
ต่อมาผู้ใช้ได้เปิดเว็บเพจส่วนบุคคลอันหนึ่ง ซึ่งมีรายการงานเขียน เช่นหนังสือหรือ เอกสารที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของนักเขียนคนนั้น ผู้ใช้ได้เลือกที่จะเปิดอ่านงานเขียนที่เขาสนใจ โปรแกรมเลทีเซียจะตรวจสอบเว็บนั้นว่างีงานเขียนใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง agent ที่ผู้ใช้สนใจหรือไม่ ถ้ามี โปรแกรมก็จะนำเสนอให้กับผู้ใช้ และสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงเลือกเอกสารนั้น ๆ นำเสนอต่อผู้ใช้
Future User Interfaces
จากการสั่งงานคอมพิวเตอร์การใช้ command line ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขพิมพ์เป็นคำสั่ง ก่อนที่ผู้ใช้จะสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้นั้น ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (user interface) ต้องถูกกำหนดหน้าที่มาและรูปแบบของคำสั่งที่ระบบคอมพิวเตอร์อนุญาตให้ใช้ได้ หากพิมพ์ไม่ถูกต้อง หรือใส่ข้อมูลผิดพลาดก็จะไม่ทำงานให้ กลายมาเป็นการใช้เมาส์เลือกตำหน่งต่าง ๆ ของจอภาพ การใช้จอสัมผัส การใช้แท่งควบคุมเหล่านี้อาจกลายเป็นอดีตไป เมื่อแนวโน้มการสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นการสั่งงานแบบธรรมชาติที่มนุษย์ใช้ที่สุด นั่นคือใช้เสียงสั่ง ซึ่งปัจจุบันนี้มีใช้งานจริงแล้ว
The 3D Graphical User Interface
ี้ส่วนติดต่อกับผู้ใช้สามารถเป็นภาพสามมิติได้ ซึ่งทำให้ดูเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น เช่นในการเปิดร้านขายของออนไลน์ อาจออกแบบร้านเป็นสามมิติด้วยเทคโนโลยี VRML ผู้ซื้อสามารถท่องซื้อของในร้านอย่างเสมือนจริงและสามารถพูดคุยทักทายกับผู้ซื้ออื่น ๆ หมุนดูสินค้าได้อย่างละเอียดทุกมุมก่อนตัดสินใจซื้อ เป็นต้น
Machine Translation
โปรแกรมแปลภาษามีแนวโน้มจะแปลแต่ละภาษาไปหากันและกันให้ได้มากที่สุด โดยวิธีที่ใช้คือ interlingua นั่นคือสร้างภาษากลางที่เป็นศูนย์กลางขึ้นมาหนึ่งภาษา ให้ทุกภาษาสามารถแปลไปกลับกับภาษากลางนี้ได้ โดยภาษากลางนี้มีการแทนข้อมูลที่เป็นความหมายที่เป็นกลาง ไม่ขึ้นต่อกับรูปแบบไวยากร์หรือการแปลของภาษาใด
ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้บริการแปลภาษา 6 ภาษาจากแต่ละภาษาไปหากันได้คือ www.google.com แต่สำหรับภาษาไทย ยังต้องการนักวิจัยระบบแปลภาษาไทยให้มีความถูกต้อง และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้แปลได้หลายภาษาขึ้นอีก
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในอนาคต
ปัจจุบันนี้ ใครที่ได้อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์คงจะเคยทราบว่าอินเตอร์เน็ตจะมีบทบาทต่อสังคมมากขึ้นในอนาคต เด็กนักเรียนจะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ดี ๆ จากทั่วโลกได้ด้วยการใช้อินเตอร์เน็ต การผ่าตัดสามารถทำได้ผ่านโลกไซเบอร์สเปซ การติดต่องานกับราชการต่าง ๆ สามารถทำได้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของแต่ละบ้าน ปล่อยให้การยืนเข้าแถวคอยในการติดต่องานกับข้าราชการซึ่งทำให้เสียเวลากลายเป็นอดีตไป
ด้วยความต้องการเช่นนี้ น่าจะเป็นจริงในอนาคตอันใกล้เนื่องจากมีโครงการใหญ่เกิดขึ้น 2 โครงการเพื่อพัฒนาอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ คือโครงการ อินเตอร์เน็ต 2 (Internet2 หรือ I2) และโครงการ NGI (the Next Generation Internet)
โครงการอินเตอร์เน็ต 2 (www.internet2.com)ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาสหรัฐอเมริกา 120 มหาวิทยาลัยพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตขั้นสูง University Corporation for Advanced Internet Development (UCAID) เพื่อสนับสนุนการศึกษาและการวิจัย. งานในการพัฒนาเครือข่ายนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น การใช้สเปคตรัมของแสงเดินทางผ่านเครือข่ายออพติคัล ในการส่งข้อมูลที่สำคัญไปในสื่อเดียวกับข้อมูลอื่น ๆ ด้วยความถี่ที่สูงและความเร็วของการส่งข้อมูลที่เร็วมากเท่ากับความเร็วแสง จึงทำให้มีการถูกรบกวนน้อยมาก โดยได้มีการสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 2 นำร่อง ในการให้บริการข้อมูลระหว่างห้องสมุดระหว่างมหาวิทยาลัยเหล่านั้น แต่มีข้อเสียเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้นั้นหายากและราคาแพงเช่น จานดาวเทียม และอิเล็กโตรไมโครสโคป และทำให้รัฐบาลต้องลงทุนในการขุดเจาะวางสายเคเบิลใหม่
ส่วน โครงการ NGI ได้มีเป้าหมายในการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาวิจัย พัฒนา และทดลองเทคโนโลยีเครือข่ายขั้นสูง ซึ่งมีความน่าเชื่อถื มีบริการหลากหลาย ความปลอดภัย และมีโปรแกรมการโต้ตอบแบบทันที (realtime) เช่นโปรแกรมการจัดการระยะไกล ระบบการทำงานแบบกระจายข้อมูลให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องในระยะไกลช่วยกันคำนวณ และระบบความคุมการทดลองระยะไกล เป็นต้น เป้าหมายที่ 1 นี้รับผิดชอบโดย DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency )
เป้าหมายที่ 2 โครงการ NGI นำโดย องค์กร NFS (National Science Foundations) เพื่อสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ขึ้น โดยมีพื้นฐานจากโครงการ vBNS โดยคาดหวังว่าเป้าหมายที่ 1 ของโครงการจะบรรลุผลและสามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านความเร็วที่มีในการใช้สิวิตซ์ เราเตอร์ เครือข่ายท้องถิ่น และเครื่องแม่ข่ายอย่างสถานีงาน (work station) ได้ สำหรับเป้าหมายที่ 2 เครือข่ายอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเชื่อมต่อมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และองค์กรร่วมอื่น ๆ รวมกว่า 100 แห่งเข้าด้วยกัน ด้วยความเร็วที่สูงกว่าอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันกว่า 100 เท่า
จาก คอมพิวเตอร์ในอนาคต/คอมพิวเตอร์น่ารู้/สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้
http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/computer/evolution/Future_Internet.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)